นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) พร้อมด้วยคณะ นัดหารือร่วมกับผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ถึงแผนการใช้งบประมาณลงทุนจำนวน 176,808 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบไว้ก่อนหน้านี้
"ทั้งสองหน่วยงานเห็นว่าควรมีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยให้ผู้แทนของ สคร.ได้เข้ามาแนะนำ เสนอแนะในนามของคณะกรรมการฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลและแบบแผนการรายงานที่ตรงกัน" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
โดยการดำเนินงานในปี 54 ที่จะใช้งบประมาณจำนวน 87,529 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนที่ รฟท.นำเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการสรรหาเงินกู้มาลงทุน ส่วนการรายงานทางระบบบัญชีนั้น สคร.ต้องการให้ รฟท.พัฒนาเรื่องข้อมูลทรัพย์สินถาวร ระบบไอที ระบบการซ่อมบำรุงและการจัดซื้อพัสดุ เพื่อให้สามารถชี้แจงต่อคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ(กนร.)ได้
สำหรับการติดตามประเมินผลการดำเนินงานนั้น สคร.เห็นว่า คะแนนในการดำเนินงานของ รฟท.อยู่ในเกณฑ์ต่ำจึงควรกำหนดแรงจูงใจเพิ่มเติม แม้ว่า รฟท.จะเป็นองค์กรที่มีผลประกอบการขาดทุน การบริหารจัดการระบบบำเหน็จบำนาญมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
"สคร.ขอให้การรถไฟฯ ได้มีส่วนในการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เพียงพอต่อการนำรายได้มาจ่ายเป็นค่าบำเหน็จบำนาญ ซึ่งอาจต้องรอการสรรหาหัวหน้าหน่วยธุรกิจบริหารทรัพย์สินที่เป็นมืออาชีพ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อเอามาชดเชยในส่วนนี้" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของ รฟท.ในหน่วยธุรกิจ(BU) นั้น รฟท.ได้เสนอให้แยกส่วนบริหารจัดการออกเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน แยกหน่วยธุรกิจการเดินรถ หน่วยธุรกิจซ่อมบำรุง หน่วยธุรกิจบริหารทรัพย์สิน และบริษัทลูก คือ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด(แอร์พอร์ตเรลลิ้งค์) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้รองผู้ว่าการฯ เป็นผู้บริหารจัดการในแต่ละหน่วยธุรกิจไปพลางก่อน ส่วนการสรรหาหัวหน้าหน่วยธุรกิจจะจัดหาให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่ง สคร.ให้ความสำคัญกับการจัดกรอบอัตรากำลังในแต่ละหน่วยธุรกิจ เพือให้สามารถวัดผลประกอบการทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินได้ด้วย
ทั้งนี้กรอบอัตรากำลังที่เหมาะสมจะช่วยปลดข้อจำกัดในการขอเพิ่มอัตรากำลังในอนาคตได้ตามมติ ครม.เมื่อปี 41 และ สคร.ยังเสนอให้ รฟท.พิจารณาหลักการแยกบัญชีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ รฟท.สำหรับกิจกรรมเพื่อสังคมและมาตรการช่วยลดค่าครองชีพ