นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ คาดว่า ในการประชุมรัฐสภาวันพรุ่งนี้(16 พ.ย.) จะมีการผ่านความเห็นชอบการลงนามในความตกลงเติมฉบับที่ 3 ของข้อตกลงการค้าเสรี(FTA) ไทย-เปรู และจากนั้นจะมีการลงนามระหว่างตนกับ รมช.การค้าเปรู ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 18 พ.ย.53 โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หลังจากที่ไม่สามารถลงนามกันได้ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) เมื่อวันที่ 10-12 พ.ย.ที่ผ่านมาได้
ทั้งนี้ ภายหลังการลงนามแล้วคาดว่า FTA ไทย-เปรูจะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 54 ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับประโยชน์จากการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าของเปรูทันทีทั้งสิ้น 3,985 รายการ หรือคิดเป็นสัดส่วน 54.2% ของรายการสินค้าทั้งหมด และคิดเป็น 77.17% ของมูลค่านำเข้าเฉลี่ยจากไทยในปี 49-52 ที่มีมูลค่า 132.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่ฝ่ายไทยจะยกเลิกภาษีให้กับการนำเข้าสินค้าจากเปรูทันที 3,844 รายการ หรือคิดเป็นสัดส่วน 46.3% ของรายการสินค้าทั้งหมด และคิดเป็น 92.16% ของมูลค่านำเข้าเฉลี่ยจากเปรูในปี 49-52 ที่มีมูลค่า 70.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จัดทำรายละเอียดและเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ(กนศ.) เพื่อพิจารณาให้ไทยเจรจาเปิดเสรีเพิ่มเติมกับเปรูในภาคการค้าบริการ และการลงทุนทันที หลังการเปิดเสรีการค้ามีผลบังคับใช้แล้ว ทั้งนี้เพื่อให้เป็นการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบ