นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้ประเมินความเสียหายจากเหตุน้ำท่วมในส่วนของถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบททั่วประเทศแล้วพบว่ามีมูลค่าประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น กรมทางหลวง 9 พันล้านบาท กรมทางหลวงชนบท 4 พันล้านบาท แต่ยังไม่รวมถนนในพื้นที่ภาคใต้ที่ยังมีปัญหาดินถล่ม ซึ่งจะต้องมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง โดยในวันที่ 18 พ.ย.นี้ กระทรวงฯ จะลงพื้นที่ไปประชุมติดตามสถานการณ์
โดยในปีงบประมาณ 2554 มีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณในการฟื้นฟูถนนสำหรับกรมทางหลวงประมาณ 3-4 พันล้านบาท กรมทางหลวงชนบท 1-2 พันล้านบาท ซึ่งงบประมาณบางส่วนได้ถูกโยกงบจากงานอื่นที่ยังไม่จำเป็นเร่งด่วนมาฟื้นฟูถนนที่ได้รับความเสียหายมากก่อนคาดว่า ภายใน 3 เดือนหลังจากที่ได้รับงบประมาณจะสามารถเริ่มงานก่อสร้างได้ ส่วนการคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างนั้นจะใช้วิธีการประกวดราคาแบบทั่วไปไม่มีการใช้วิธีพิเศษแน่นอน
ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า กระทรวงฯ จะรายงานความเสียหายของถนนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดให้คณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับจังหวัดพิจารณา เพื่อให้คณะกรรมการฯ กรองข้อมูลถนนที่เกิดความเสียหายในพื้นที่แต่ละจังหวัดที่เกิดขึ้นจริง และจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วนของถนนที่จะต้องฟื้นฟู ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ทั้งนี้จากการตรวจพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเบื้องต้น พบว่ามีถนนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและต้องฟื้นฟูเป็นเงินประมาณ 9 พันล้านบาท แต่ได้ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทไปปรับแผนให้ดำเนินการฟื้นฟูถนนที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน ส่วนการประเมินความเสียหายในภาพรวมทั้งประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท และภายใน 1-2 สัปดาห์นี้กระทรวงคมนาคมจะสรุปข้อมูลทั้งหมดเสนอให้ ครม.พิจารณาภายในวันที่ 30 พ.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม หลังจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูถนนแล้ว พบว่ากรมทางหลวงยังมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท ขณะที่กรมทางหลวงชนบทมีความจำเป็นไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท