นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ กระทรวงการคลังเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษีที่ได้รับ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาทในปีภาษีนั้น
"ผู้พิการจะสามารถใช้สิทธิยกเว้นเงินได้บุคคลธรรมดา 190,000 บาท สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี 2553 ที่จะต้องมีการยื่นแบบภายในเดือนมีนาคม 2554 เป็นต้นไป"
ด้านองค์กรเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายในการจัดให้คนพิการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 มีสิทธินำรายจ่ายดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ 2 เท่า แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ (กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา)และหรือค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะหรือสนามกีฬาฯ แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา (กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล)
ส่วนนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เข้าทำงานมากกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างในสถานประกอบการ โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่า 180 วันในปีภาษี/รอบระยะเวลาบัญชีใด มีสิทธินำรายจ่ายในการจ้างคนพิการมาเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า จากเดิมที่กฎหมายในปัจจุบันให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้นและพึ่งตนเองได้ และจะเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีให้แก่คนพิการ รวมทั้งจูงใจให้ภาคเอกชนจ้างคนพิการเข้าทำงานเพิ่มขึ้น