บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 54 ราคายางน่าจะยังมีทิศทางเป็นขาขึ้น และคาดว่าราคายางเฉลี่ยทั้งปี 54 ไม่ต่ำกว่าระดับ 100 บาท/กก.แน่นอน จากปัจจัยการขยายการลงทุนของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตยางวงล้อ เช่น มิชลิน กู๊ดเยียร์ ซึ่งมีการขยายโรงงานในแหล่งตลาดและแหล่งที่เป็นที่ผลิตยาง รวมถึงประเทศไทย อีกปัจจัยหนึ่งคือการที่ประเทศจีนต้องซื้อยางเพื่อเก็บเข้าสต็อก
ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตล้อรถยนต์จากต่างประเทศแสดงความสนใจที่จะเข้ามาขยายการลงทุนจากการกระทรวงอุตสาหกรรมไปโรดโชว์ที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเร็วๆนี้ โดย Michelin แสดงความสนใจลงทุนโรงงานหล่อดอกยางเก่าที่ใช้แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นควรให้สนับสนุน และยังได้เชิญให้บริษัทมาลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา หรือ อาร์แอนด์ดีเพิ่มเติม ปัจจุบัน Michelin ได้ยืนยันที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญต่อไป
ประกอบกับ ช่วงไตรมาส 2 ของทุกปีจะเป็นช่วงฤดูยางผลัดใบ ชาวสวนจะพักการกรีดยาง ซึ่งจะทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยอยู่แล้ว น่าจะผลักดันให้ราคามีทิศทางเป็น Up Trend ต่อไป แต่บางช่วงเวลาอาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง
"เรามองว่า Trend ของราคายางจะไปตาม 2 ปัจจัยคือ การขยายการลงทุนของผู้ผลิตยางรถยนต์ และจีนที่จะต้องซื้อยางเพื่อเก็บเข้าสต็อก แสดงถึงดีมานด์ยางที่ยังมีอยู่"นางภคอร ทิพยธนเดชา ผู้จัดการฝ่ายสายวิจัยเศรษฐกิจจุลภาค บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นางภคอร กล่าวว่า โครงสร้างราคายางเปลี่ยนไปจากอดีตที่เมื่อความต้องการใช้ยางธรรมชาติมีมากผลักดันให้ราคาขยับขึ้นสูงจนเกือบชนเพดาน คนก็จะเริ่มหันมาใช้ยางสังเคราะห์แทน แต่เมื่อเทคโนโยลยีการกลั่นน้ำมันเปลี่ยนไปทำให้วัตถุดิบที่จะนำไปผลิตยางสังเคราะห์มีน้อยลง และราคาสูงขึ้น ดังนั้น ราคายางธรรมชาติจึงจะยังวิ่งไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเพดาน
"เดี๋ยวนี้ราคายางไม่มีเพดานราคาระหว่างยางธรรมชาติกับยางสังเคราะห์แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าราคายางเป็นช่วงขาขึ้นก็จะขึ้นไปเรื่อยๆตามดีมานด์ และความกังวลเรื่องผลผลิตอาจจะขาดแคลน คนอาจจะกังวลว่าผลผลิตจะขาดแคลน เนื่องจากปัจจัยภัยแล้งในตอนต้นปี และพอมาปลายปีก็มีปัญหาน้ำท่วมและวาตภัย"นางภคอร กล่าว