นางพิศวรรณ อัชนะพรกุล ประธานบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย คาดการณ์ยอดขายน้ำมันใสของตลาดรวมปีนี้จะลดลงประมาณ 4% จากปริมาณรวม 16,000 ล้านลิตรต่อปี เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและสถานการณ์น้ำท่วมที่มีผลต่อการท่องเที่ยว ขณะที่ยอดการจำหน่ายของน้ำมันเครื่องยังคงปรับเพิ่มขึ้น 4-5% หรือมียอดขายประมาณ 450 ล้านลิตรต่อปี
ยอดขายของบริษัทฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11-12% หรือประมาณ 120 ล้านลิตร เพราะไทยยังเป็นฐานการผลิตประเภทอื่นๆ ส่งออกไปต่างประเทศ ภาวะการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่ลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ และบริษัทฯ สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการ เป็นพาร์ทเนอร์ชิฟกับค่ายรถยนต์และโออีเอ็ม
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เลือกที่จะจำหน่ายเฉพาะน้ำมันพลังงานทางเลือกมีเฉพาะแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล บี 5 เท่านั้น เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมพลังงานทดแทน ทำให้ยอดขายแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น 10% ส่วนบี 5 ยอดขายลดลง 3% ลดลงต่ำกว่าตลาดรวม
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาค่าการตลาดของพลังงานทางเลือกจะต่ำกว่าเบนซิน เพราะราคาเอทานอล, บี 100 สูงกว่าราคาน้ำมัน โดยขณะนี้ราคาเอทานอลสูงกว่า 26 บาทต่อลิตร ส่วนบี 100 ขยับขึ้นมาเกือบ 40 บาทต่อลิตร ทำให้ทุกค่ายประสบปัญหาต้นทุน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งด้านนโยบายของรัฐและผู้บริโภคได้ประโยชน์ที่จะใช้พลังงานทดแทน รัฐบาลจึงควรปรับภาษีให้เบนซินเต็มเพดานที่ 10 บาทต่อลิตร ให้แตกต่างจากแก๊สโซฮอล์เพื่อจูงใจผู้บริโภค
นางพิศวรรณ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทฯ วางแผนจะปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการ 30-50 แห่ง ลงทุนแห่งละประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อเน้นการบริการลูกค้า และไม่มีแผนขยายปริมาณปั๊มจากปัจจุบันมี 570 แห่ง ส่วนการจำหน่ายอี 20 นั้นคงจะต้องรอดูว่าปริมาณรถยนต์มีมากขึ้นมากน้อยเพียงใด โดยต้องยอมรับว่าประเภทน้ำมันของไทยขณะนี้มีสูงที่สุดในโลก ทำให้ปั๊มมีอุปสรรคในการเลือกจำหน่ายทั้งหัวจ่ายและถังน้ำมัน ซึ่งหากรัฐบาลก็ควรจะเลือกว่าจะส่งเสริมอี 10 หรือ อี 20 ให้ชัดเจน
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 75-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ต้องขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐว่าจะมีการแข็งค่าต่อไปอีกหรือไม่ ส่วนราคาน้ำมันในปีหน้าก็จะใกล้เคียงกับปีนี้