อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐอาจจะยิ้มกันถ้วนหน้าในช่วงเทศกาลวันหยุดขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ได้หวนคืนวงการอีกครั้งด้วยการประกาศขายหุ้น รวมทั้งผลประกอบการที่สดใสของเพื่อนฝูงในวงการอย่างฟอร์ด และไครส์เลอร์ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ดูเหมือนจะบ่งชึ้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวในวงกว้างของอุตสาหกรรม แต่จะเป็นการฟื้นตัวอย่างแท้จริงหรือไม่
เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา วอลล์สตรีทได้ชื่นชมกับการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งใหญ่สุดแห่งปีของจีเอ็ม แม้แต่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาเองก็ยังมองว่า การขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้เป็นเหมือนหลักไมล์ครั้งสำคัญของการฟื้นตัวที่ไม่เฉพาะแต่จีเอ็มซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งวงการเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมดด้วย
อย่างไรก็ดี บริษัทก็ยังต้องยอมรับกับการที่ต้องแลกอะไรไปเพื่อให้ได้อะไรบางอย่างกลับคืนมา เพราะบริษัทต้องเผชิญกับความเจ็บปวดในการที่ต้องขายธุรกิจในเครือออกไป รวมทั้งการยกเลิกการผลิตรถรุ่นดังหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นฮัมเมอร์และซ้าบ รวมทั้งการปิดโรงงานทั่วโลกเป็นจำนวนมาก
เน็กซ์เทียร์ ออโตโมทีฟ ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จีเอ็มได้ขายออกไปในช่วงที่บริษัทต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จีเอ็มก็สามารถสรุปการขายธุรกิจในเครือไปที่ราคา 420 ล้านดอลลาร์
เน็กซ์เทียร์มีพนักงานกว่า 8,300 รายในโรงงาน 42 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย รายได้ของเน็กซ์เทียร์หดตัวลงเหลือ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2552 จากระดับ 2.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2551 เนื่องจากวิกฤตการเงิน และยังถูกขายไปให้กับค่ายรถจีนอย่างบริษัท แปซิฟิค เซ็นจูรี่ มอเตอร์ ซิสเต็มส์ ในปีนี้
สำหรับไครส์เลอร์นั้น แม้ว่าบริษัทจะมีการปรับโครงสร้างและปรับปรุงยอดขายได้มาก แต่บริษัทก็ยังต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนเป็นเงินถึง 84 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปีนี้ ส่งผลให้ยอดขาดทุนทั้งหมดในช่วง 3 ไตรมาสอยู่ที่ 453 ล้านดอลลาร์
โรเบิร์ต สตัทซ์ กรรมการผู้จัดการของคินเซลลา กรุ๊ป ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจในชิคาโก้ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐนั้นฟื้นตัวขึ้นมาได้มาก
ทางด้านสตีเฟน แรทเนอร์ อดีตสมาชิกคนสำคัญของคณะทำงานทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่จีเอ็มและไครส์เลอร์ กล่าวว่า การรับประกันเรื่องการประสบความสำเร็จในการฟื้นตัวนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกนาน และคาดการณ์ว่า จะต้องมีการทำยอดขายรถให้ได้ประมาณ 15 ล้านคันต่อปีในสหรัฐ เพื่อที่จะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์สามารถเดินหน้าต่อไปได้
สตัทซ์คาดการณ์ว่า ตลาดยานยนต์สหรัฐมีแนวโน้มว่าจะสามารถทำยอดขายรถต่อปีได้ 12-13 ล้านคันในช่วง 2 ปีข้างหน้า
ด้านนักวิเคราะห์ในตลาดกล่าวว่า ประชาชนดูเหมือนจะเต็มใจที่จะซ่อมรถคันเดิมของตัวเองมากกว่าที่จะซื้อรถใหม่ และยังคงใช้รถคันเดิมต่อไปในช่วงที่ความเชื่อมั่นที่มีต่อเศรษฐกิจอ่อนตัว โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐซึ่งจัดทำโดยทอมสัน รอยเตอร์สและมหาวิทยาลัยมิชิแกนในเดือนต.ค.นั้นอยู่ที่ 67.9 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา
สตัทซ์กล่าวว่า ตลาดรถดั้งเดิมชะลอตัวลงมาก ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตรถจะต้องใช้ความพยายามเพื่อที่จะเจาะตลาดเกิดใหม่ อย่างจีน อินเดีย และบราซิล ตลาดเกิดใหม่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วนั้นมีบทบาทที่สำคัญในการช่วยให้จีเอ็มฟื้นตัวขึ้นมาได้จากภาวะล้มละลาย
ข้อมูลจากสถิติบ่งชี้ว่า จีเอ็มสามารถขายรถในจีนได้มากกว่า 2 ล้านคันในปีนี้ นอกจากนี้ ฟอร์ดยังสามารถขายรถในจีนได้ 419,000 คันในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 40% จากระดับปีที่แล้ว
โดยจู จู และจาง เปาผิง สำนักข่าวซินหัว