ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะใช้มาตรการยับยั้งวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป ในการประชุมซึ่งจะมีขึ้นช่วงเย็นวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินปอนด์ดีดตัวขึ้นขานรับรายงานภาคการผลิตที่แข็งแกร่งเกินคาด
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.22% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3135 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคาร (30 พ.ย.) ที่ 1.2977 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.45% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5621 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5551 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.59% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 84.160 เยน จากระดับของวันอังคารที่ 83.670 เยน แต่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0029 ฟรังค์ จากระดับ 1.0041 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.15% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9685 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคาร 0.9575 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.84% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7486 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7424 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินยูโรหลังจากนายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานอีซีบีออกมากระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์เข้าซื้อพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลในกลุ่มยุโรป ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า อีซีบีซึ่งวางตัวนิ่งเฉยมาโดยตลอดในช่วงที่เกิดวิกฤตนั้น จะใช้มาตรการยับยั้งวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปในการประชุมซึ่งจะมีขึ้นช่วงเย็นวันพฤหัสบดีนี้
นอกจากนี้ ยูโรยังได้รับแรงหนุนหลังจากมีการคาดการณ์ว่า สหรัฐอาจจะสนับสนุนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ให้ช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มขึ้นแก่สำนักงานกำกับเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งโดยกลุ่มยูโรโซนและไอเอ็มเอฟ
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนจากรายงานที่ระบุว่า ดัชนี ISM ภาคการผลิตในเดือนพ.ย.ขยายตัวสู่ระดับ 56.6 จุด ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 16 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 54.8 จุด ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนค่าเงินปอนด์ดีดตัวขึ้นหลังจาก Markit/CIPS เปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 58 จุด จากระดับ 55.4 จุดในเดือนต.ค. ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเป็นการขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 16 ปี
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค. และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย. โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 140,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวอยู่ที่ 9.6%