นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ คาดว่าในปี 54 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยจะเติบโตได้ราว 4-5% หรือมีค่าเฉลี่ยที่ 4.2% ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้มากสุดที่ 50%
ทั้งนี้ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นักจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ประกอบการเมืองในประเทศยังไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งอาจมีการยุบสภาและรอรัฐบาลใหม่ ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในการบริโภคและการลงทุนเท่าที่ควร
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในปีหน้า จะให้น้ำหนักกับเรื่องการเมืองในประเทศมากสุดถึง 60% รองลงมาคือ ปัญหาเศรษฐกิจโลก 30% และที่เหลืออีก 10% คือปัญหาภัยธรรมชาติ
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ในปี 54 ปัจจัยการเมืองในประเทศจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์เงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง เนื่องจากสหรัฐฯ ยังมีนโยบายที่จะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า ประกอบกับจีนจะทยอยทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพื่อชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีนเอง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 28 บาท/ดอลลาร์
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีหน้ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หากยังคงเผชิญกับปัญหาภัยธรรมชาติ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งอาจจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นไปแตะ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ในช่วงเดือน ก.พ. - ต.ค.54 แต่คาดว่าทั้งปีราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะเฉลี่ยอยู่ที่ราว 86.40 - 90 ดอลลาร์/บาร์เรล
ม.หอการค้าไทย ยังคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ในปี 54 ดังนี้ การส่งออก โต 10.5% ที่มูลค่า 210,000 ล้านดอลลาร์, การนำเข้า โต 12.4% ที่มูลค่า 198,000 ล้านดอลลาร์, ดุลการค้าเกินดุลราว 12,000 ล้านดอลลาร์, ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลราว 12,800 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.3% ของ GDP, อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 3.3%, ยอดนักท่องเที่ยว 15.8 ล้านคน เติบโต 2% ขณะที่คาดว่าปี 54 กนง.จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2%
ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) ในปี 53 นี้ ศูนย์พยากรณ์ฯ คาดว่าจะเติบโตได้ราว 7.6% จากผลกระทบของปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งหากไม่เกิดสถานการณ์อุทกภัยคาดว่า GDP ปีนี้มีโอกาสเติบโตได้ถึง 7.9-8.1% โดยปีนี้ยังได้ภาคการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ
ขณะที่ GDP ไตรมาส 4/53 คาดว่าจะเติบโตได้ 2.8% โดยยังถือว่าเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 เนื่องจากยังเห็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งส่งผลดีผ่านมายังการส่งออกและการบริโภคในประเทศ
นายธนวรรธน์ ยังให้ความเห็นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีอีก 0.25% เป็น 2.00% ว่า ถือเป็นการตัดสินใจถูกต้องแล้วที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะจะช่วยลดการติดลบของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลงได้ นอกจากนี้การปรับขึ้นดอกเบี้ยยังส่งดีต่อการลงทุนระยะยาวของประเทศ