Analysis: นักวิเคราะห์คาดราคาน้ำมัน NYMEX จ่อพุ่งแตะ $100 ปีหน้า

ข่าวต่างประเทศ Tuesday December 7, 2010 15:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 89.19 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2554 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และความเหลื่อมล้ำของอุปสงค์-อุปทาน

ฟาตีห์ ไบรอล หัวหน้านักวิเคราะห์จากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า ช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในระดับต่ำได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยราคาน้ำมันดิบทะยานึ้นแข็งแกร่งเนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจโลก

ขณะที่ชานกวน ลี นักวิเคราะห์จาก Oppenheimer Gold and Special Minerals Fund ซึ่งมีทรัพย์สินรวม 4.4 พันล้านดอลลาร์กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐและจีน ซึ่งเป็น 2 ประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ต่างมีสัญญาณบ่งชี้ในด้านบวก"

ลีมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน โดยเขากล่าวว่า แม้สหรัฐเผชิญปัญหาภาวะซบเซาในตลาดที่อยู่อาศัย แต่อุตสหกรรมในด้านอื่นๆยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจค่อยๆปรับตัวรวดเร็วขึ้น ส่วนจีนนั้น แม้เผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและนโยบายคุมเข้มด้านการเงิน แต่เศรษฐกิจก็ยังคงเติบโตในอัตราที่น่าพอใจ

คอนลีย์ เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์จาก Wall Street Strategies กล่าวกับซินหัวว่า "ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปีนี้ ขณะที่เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้แล้วว่า ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปลายปี 2554"

ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานมีแนวโน้มขยายวงกว้าง

รายงานของ IEA ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ระบุว่า อัตราการใช้น้ำมันโดยเฉลี่ยในปี 2553 อาจเพิ่มขึ้น 2.34 ล้านบาร์เรล/วัน และเพิ่มขึ้นอีก 1.9 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2554

แต่ในแง่ของอุปทานนั้น กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ซึ่งสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่าร้อยละ 35 ของผลผลิตทั่วโลก ได้ตัดสินใจคงเป้าหมายการผลิตไว้เท่าเดิมสำหรับปี 2553 ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยในรายงาน "Short Term Energy Outlook" ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า อุปทานน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปค รวมถึงสหรัฐ บราซิล และอดีตอาณานิคมของสหภาพโซเวียตจะอยู่ที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2553 แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวของอุปทานน้ำมันในประเทศกลุ่มนี้จะชะลอตัวลงในปี 2554

ขณะเดียวกัน IEA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันจะยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าอาจพุ่งขึ้นถึง 99 ล้านบาร์เรล/วัน ภายในปี 2578 ซึ่งสูงกว่าสถิติปี 2552 อยู่ราว 15 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ทั้งนี้ คาดว่าความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานจะขยายตัวขึ้น และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นด้วย

ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ

ดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ยังคงเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดน้ำมัน การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบสอง หรือ QE2 ด้วยการซื้อพันธบัตรวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้วนั้น ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง และผลที่ตามมาคือทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

เทอร์เนอร์กล่าวกับซินหัวว่า ความอ่อนแอของสกุลเงินดอลลาร์ ประกอบกับแรงกดดันด้านเงินในสหรัฐในอีก 12 เดือนข้างหน้า อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ในขณะเดียวกัน วิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และประเด็นอิหร่าน อาจเป็นปัจจัยที่สนับสนุนเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะงผลกระทบต่อตลาดน้ำมันในอีกด้านหนึ่งเช่นกัน

บทความโดย เฉียว จือหง จากสำนักข่าวซินหัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ