นายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง กล่าวว่า กรมสรรพสามิตจะยังไม่ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในเวลานี้ เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีนโยบายที่ชัดเจนว่าเงินในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีเหลือเงินสุทธิอยู่ประมาณ 28,000 ล้านบาทนั้น จะเพียงพอต่อการลดปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเวลานี้ได้ แม้ปัจจุบันจะพบว่าเงินในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ลดลงเหลือประมาณ 600 ล้านบาท/เดือน แล้วก็ตาม
นอกจากนี้ยังได้รับการยืนยันจากนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่ไม่ต้องการใช้ภาษีสรรพสามิตน้ำมันมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะเป็นมาตรการที่มีผลกระทบในวงกว้างกับคนทั้งประเทศ อีกทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีความผันผวน และยังกังวลว่าหากปรับลดอัตราภาษีลงไปแล้วการจะปรับอัตราการจัดเก็บให้สูงขึ้นในอนาคตจะเป็นเรื่องยาก
รมช.คลัง ยังกล่าวด้วยว่าได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตศึกษามาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง เช่น ภาคเกษตรกรรม ซึ่งอาจเป็นการช่วยเหลือในลักษณะของการแจกคูปอง โดยอาจนำมาตรการที่ศึกษาไว้ออกมาใช้จริงก็ต่อเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นไปสูงถึง 100 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ส่วนตัวแล้วมั่นใจว่าราคาน้ำมันจะไม่มีทางขึ้นไปถึงระดับดังกล่าว
ด้านนายอัครุตม์ สนธยานนท์ เลขานุการ กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อวางแนวทางรวมถึงการติดตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ว่าเป็นช่วงสั้นๆ หรือเป็นผลกระทบระยะยาว โดยเห็นว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับขึ้นในขณะนี้ถือเป็นภาวะปกติตามฤดูกาล เนื่องจากช่วงปลายปีโรงกลั่นน้ำมันจะหยุดสายการผลิต ทำให้มี supply ออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติ ประกอบกับฝั่งยุโรปเป็นช่วงฤดูหนาวทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
ขณะที่ในปี 51 ที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นมาก นอกจากมีเงื่อนไขของฤดูกาลแล้วยังมีกลุ่มเฮดจ์ฟันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้รมว.คลัง เห็นว่าการนำมาตรการภาษีมาใช้ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น แต่ยังมีทางเลือกอื่นให้พิจารณา
"กรมฯ อยู่ระหว่างการศึกษาผลดีผลเสียของการนำมาตรการทางภาษีมาใช้ในการดูแลราคาน้ำมันดีเซล โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปและนำเสนอต่อ รมว.คลัง ภายในสัปดาห์นี้" นายอัครุตม์ กล่าว