นายกรัฐมนตรี เผยขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปแนวทางพยุงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับรายงานจากปลัดกระทรวงพลังงานว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังสามารถแบกรับภาระดังกล่าวไว้ได้ โดยตนเองเชื่อว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงมา ทั้งนี้หากรัฐบาลจะตัดสินใจนำมาตรการใดออกมาแก้ปัญหาก็ต้องไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันฯ และสร้างภาระให้กับรัฐบาล
สัปดาห์ก่อน คณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) มีมติให้ปรับลดการเรียกแก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากเดิมลิตรละ 65 สตางค์ เหลือแค่ลิตรละ 15 สตางค์ เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศปรับตัวสูงกว่าลิตรละ 30 บาท โดยปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตามสถานีบริการในเขตกรุงเทพฯ แลละปริมณฑลนั้น ดีเซล B3 อยู่ที่ลิตรละ 29.99 บาท ส่วนดีเซล B5 อยู่ที่ลิตรละ 29.09 บาท
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณานำมาตรการทางภาษีออกมาใช้นั้นยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา
"ตอนนี้ที่คุยกับทางปลัดพลังงานก็บอกว่าไม่น่าจะเป็นอะไร ยังสามารถยันอยู่ แม้จะเลย(ลิตรละ) 30 บาทก็นิดเดียว ตอนนี้มีแนวโน้มลดลง และทางกองทุนฯ ยังรับภาระได้อยู่" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่ได้หารือกับ รมว.คลัง แล้ว ทางการทรวงการคลังต้องการให้มีแนวทางช่วยเหลือผู้ใช้น้ำมันบางกลุ่ม แต่ตนเองให้ข้อสังเกตุไปว่า หากมาตรการที่ออกมาเป็นเรื่องซับซ้อน อาจจะเป็นการเพิ่มจุดอ่อน เช่น การแจกคูปองจะเป็นคนกลุ่มไหน เพราะจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ตามมา โดยสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้าขณะนี้ค่อนข้างทรงตัว และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงเล็กน้อย