ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่าการที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และแกนนำพรรครีพับลิกันมีมติขยายโครงการลดหย่อนภาษี อาจส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐสูงขึ้น และอาจทำให้มูดีส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วลง 0.60% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 83.410 เยน จากระดับของวันศุกร์ (10 ธ.ค.) ที่ 83.910 เยน และร่วงลง 1.22% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9681 ฟรังค์ จากระดับ 0.9801 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.19% แตะที่ 1.3390 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3233 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.25% แตะที่ 1.5856 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5816 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.94% แตะที่ 0.9947 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 0.9854 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.92% แตะที่ 0.7549 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7480 ดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากมูดีส์เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Aaa ของสหรัฐ หากข้อตกลงการขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่โอบามาทำร่วมกับพรรครีพับลิกันนั้น มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
ประธานาธิบดีโอบามาและแกนนำพรรครีพับลิกัน ได้บรรลุข้อตกลงการขยายโครงการลดหย่อนภาษีเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าทางรัฐบาลจะขยายโครงการลดหย่อนภาษีของผู้มีรายได้ทุกระดับชั้นออกไปอีก 2 ปี พร้อมกับขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ประชาชนที่ว่างงานหลายล้านคนออกไปอีก 13 เดือน แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากแกนนำพรรคเดโมแครตก็ตาม
ข้อตกลงดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าอาจส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก หลังจากรัฐบาลกลางสหรัฐขาดดุลงบประมาณเดือนพ.ย.ปีนี้ที่ 1.504 แสนล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.32 แสนล้านดอลลาร์ และมากกว่าเดือนพ.ย.ปีที่แล้วที่ระดับ 1.20 แสนล้านดอลลาร์
สำนักงบประมาณแห่งรัฐสภาสหรัฐ (CBO) คาดว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะอยู่ที่ 1.34 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2553 แต่ยังต่ำกว่ายอดขาดดุลในปีงบประมาณ 2552 อยู่ประมาณ 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนพ.ย. นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันอังคารที่ 14 ธ.ค.นี้ โดยมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 0-0.25%