นายทรงภพ พลจันทร์ รักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ในปีหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะยังไม่สามารถเปิดสัมปทานรอบใหม่ที่ 21 เนื่องจากต้องมีการจัดทำรายละเอียดโครงการต่างๆ โดยเฉพาะในแหล่งอ่าวไทย พื้นที่ที่จะให้สัมปทานอยู่ใกล้ชายฝั่งมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้มีประเด็นเรื่องการคัดค้านการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทยมากขึ้นจึงต้องพิจารณาให้ดี โดยต้องกำหนดมาตรฐานทางด้านสิ่งแวดล้อม และทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณอ่าวไทยก่อน
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานเตรียมจัดตั้งสำนักความร่วมมือการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะให้เป็นศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งหมด เพื่อลดกระแสการต่อต้านโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านพลังงาน
อย่างไรก็ตาม หากสามารถเปิดให้มีการขอสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ได้อาจจะให้เสนอคำขอเป็นแหล่งบนบกแทน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดสกลนคร ยโสธร อุบลราชธานี เป็นต้น โดยจะทยอยเปิดให้สัมปทานในแหล่งที่มีความพร้อมก่อนประมาณ 4- 5 แหล่ง แต่จะไม่เปิดพร้อมกันหมดทั่วประเทศ เนื่องจากเดิมเคยมีผู้ผลิตรายเล็กมาขอสัมปทานจำนวนมากและมีการทิ้งสัมปทาน หรือขายสัมปทานให้รายอื่นต่อ
ขณะนี้ประเทศไทยมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ 24 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หากใช้ปีละ 1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ก็จะใช้ได้เพียง 24 ปีเท่านั้น ดังนั้นจะต้องมีการจัดหาสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องค่าภาคหลวงที่รัฐบาลมีแนวคิดจะนำไปชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) นั้น รัฐบาลสามารถดำเนินการได้เลย เพราะในส่วนของกรมเชื้อเพลิงฯ จะต้องนำเงินค่าภาคหลวงส่งให้คลังตามปกติทุกปีอยู่แล้ว หลังจากนั้นหากคลังจะนำมาสนับสนุนแอลพีจีก็เป็นเรื่องของกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณา โดยไม่จำเป็นต้องมีการแก้กฎหมาย