เอเชียควรร่วมกันหามาตรการควบคุมเงินทุน เนื่องจากการที่เอเชียเป็นทวีปที่มีการขยายตัวเร็วที่สุดในโลกนั้นได้ดึงดูดให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามามากขึ้น จนอาจส่งผลให้เกิดภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ และกระตุ้นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวในรายงานที่เปิดเผยในวันนี้ว่า "มาตรการดังกล่าวควรมีการนำไปใช้ในระดับภูมิภาค เนื่องจากไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถดำเนินมาตรการดังกล่าวได้เพียงลำพังโดยไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ผลกระทบจากการหลั่งไหลของกระแสเงินทุนต่างประเทศที่จะเกิดขึ้นในทันทีกับหลายประเทศในเอเชีย คือ การแข็งค่าของสกุลเงิน"
โดยสกุลเงินสำคัญของเอเชียต่างปรับตัวแข็งค่าขึ้นในปีนี้ทุกสกุลเงิน ยกเว้นเงินดอลลาร์ฮ่องกงที่ผูกติดกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวกระตุ้นให้หลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทยและอินโดนีเซีย ต้องเร่งควบคุมการหลั่งไหลของเงินทุน เนื่องจากสกุลเงินที่แข็งค่าอาจสร้างความเสียหายต่อภาคการส่งออกของเอเชีย
รายงานดังกล่าวระบุว่า "กระแสเงินทุนไหลเข้าเหล่านี้จะเปิดช่องให้เกิดการเก็งกำไร โดยนักลงทุนจะหาแหล่งลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะสั้นๆ"
ด้านธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียระบุว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีนควรหาความเป็นไปได้ในการร่วมมือด้านอัตราแลกเปลี่ยนในระดับภูมิภาค เพื่อควบคุมกระแสเงินทุนไหลเข้าอย่างมีประสิทธิภาพและปรับสมดุลด้านปัจจัยที่หนุนการขยายตัวให้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีน อินเดีย เกาหลีใต้ และอินโดนีเซียจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 7% ในปี 2554 จากที่คาดการณ์ไว้ 8.3% ในปีนี้ เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงในยุโรปและเอเชียส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ด้านการส่งออก
รายงานของยูเอ็นระบุว่า "เพื่อเป็นการชดเชยในสิ่งที่อาจสูญเสียไป เราจำเป็นต้องเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันในภูมิภาคเพื่อกำหนดมาตรการนี้ขึ้น เพื่อให้ภาคการส่งออกได้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศที่มีอุปสงค์ขยายตัวแข็งแกร่ง"