บมจ.ไทยออยส์ (TOP) มองแนวโน้มสถานการณ์ราคาพลังงานในปี 2554 โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะยังคงผันผวน และมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยในปีนี้ที่ประมาณ 78 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันของโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันคงคลังทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงมาตลอดนับจากปี 52 ปรับลดลง
ประกอบกับโอเปกจะยังคงควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ เพื่อรักษาสมดุลของตลาดและระดับราคาน้ำมันไว้ โดยปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆ ได้แก่ การเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ กฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งฤดูกาลและภัยธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันในปี 54 ปรับเพิ่มสูงขึ้นและมีความผันผวนต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 54 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ประมาณการความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 88.8 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน โดยกว่าครึ่งของความต้องการใช้ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากภูมิภาคเอเชีย นำโดยจีน และอินเดีย ส่วนความต้องการใช้จากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่นอาจจะกลับไปหดตัวอีกครั้ง เนื่องจากประสิทธิภาพการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นและการสนับสนุนพลังงานทดแทนของภาครัฐ
ด้านอุปทานน้ำมันดิบในปี 54 คาดว่าอุปทานน้ำมันดิบของกลุ่มนอกโอเปคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากแหล่งผลิตในละตินอเมริกาและกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต รวมทั้งอุปทานก๊าซธรรมชาติของกลุ่มโอเปกที่จะปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งส่วนเพิ่มนี้สามารถรองรับความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่จะปรับเพิ่มขึ้นในปี 54 ได้เพียงพอ ดังนั้นความต้องการน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปกในปี 54 น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ และกำลังการผลิตส่วนเกินของโอเปกจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยนี้จะกดดันราคาในปี 54 ไม่ให้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
สำหรับปริมาณน้ำมันคงคลังทั่วโลกในปี 54 น่าจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่จะค่อยๆ ปรับตัวลดลงจากความต้องการใช้น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และกลับมาสู่ระดับปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ในขณะที่ปริมาณน้ำมันสำรองนอกชายฝั่งก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังจากปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทำความร้อนปรับสูงขึ้นมากในช่วงฤดูหนาว
บมจ.ไทยออยส์ ยังประเมินทิศทางการใช้น้ำมันสำเร็จรูปโดยรวมในประเทศของปี 54 ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 4% โดยเฉพาะความต้องการใช้ก๊าซหุงต้มยังคงขยายตัวสูงประมาณ 12% จากนโยบายภาครัฐที่ยังคงตรึงราคาขายก๊าซหุงต้มภายในประเทศในราคาต่ำกว่าราคาตลาดโลก ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ คาดว่าจะกลับเข้าสู่การขยายตัวในอัตราปกติ โดยน้ำมันเบนซิน และดีเซลคาดว่าจะทรงตัวจากปี 2553 เนื่องจากราคาขายปลีกที่จะปรับสูงขึ้นตามราคาตลาดโลกและผลจากการสนับสนุนพลังงานทดแทนจากภาครัฐ ส่วนน้ำมันอากาศยานจะขยายตัว 4% และน้ำมันเตาจะขยายตัว 2%
ด้านปริมาณการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศมีแนวโน้มที่จะทรงตัว และอาจปรับลดลงเล็กน้อยจากปีนี้ เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันหลายโรงมีกำหนดการที่จะหยุดหรือปรับลดกำลังการผลิตบางส่วน เพื่อทำการเชื่อมต่อกับหน่วยผลิตใหม่สำหรับการผลิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานยูโร 4 ที่จะเริ่มบังคับใช้ตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.55 เป็นต้นไป
สำหรับภาวะตลาดเอทานอลในปี 54 คาดว่าปริมาณความต้องการเอทานอลภายในประเทศปีหน้าจะขยายตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านลิตร/วัน จากประมาณ 1.2 ล้านลิตร/วันในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนจากภาครัฐ
จากที่ในปี 54 จะมีโรงงานเอทานอลใหม่เปิดดำเนินงาน 4 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 1.6 ล้านลิตร/วัน ทำให้กำลังการผลิตเอทานอลรวมในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 4.6 ล้านลิตร/วัน อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตจริงนั้นยังคงขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการภายในประเทศและราคาวัตถุดิบเป็นหลัก โดยผลผลิตเอทานอลบางส่วนจะจัดเก็บเป็นสต็อกของผู้ผลิตและผู้ประกอบการน้ำมันและเพื่อส่งออก
สำหรับราคาเอทานอลคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหาภัยธรรมชาติ ทั้งภัยน้ำท่วมและภัยแล้งจากปี 53 โดยเฉพาะปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังที่ลดลงอย่างมาก ในขณะที่ราคากากน้ำตาลจะยังคงทรงตัว เนื่องจากผลผลิตอ้อยได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย