ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากประเภท 1 ปีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ ในขณะที่รัฐบาลจีนยังคงใช้มาตรการต่างๆเพื่อรับมือกับราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นในขณะนี้
ธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ว่า ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท 1 ปี เป็น 5.81% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท 1 ปีเป็น 2.75%
การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีขึ้นหลังจากนางอู๋ เสี่ยวเหลียน รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า จีนจะปรับปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบโดยรวมให้กลับสู่ระดับปกติ ด้วยการใช้เครื่องมือด้านนโยบายที่หลากหลาย ในขณะที่รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนจากการใช้"นโยบายผ่อนคลายระดับปานกลาง" ไปเป็นการใช้ "นโยบายที่รอบคอบ" เพื่อควบคุมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์
ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีอีพไอ) ของจีน ซึ่งเป็นดัชนีวัดภาวะเงินเฟ้อที่สำคัญ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1% ในเดือนพ.ย. ขณะที่ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่ของธนาคารพาณิชย์พุ่งขึ้นแตะระดับ 7.45 ล้านล้านหยวนในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับเป้าหมายตลอดปี 2553 ของรัฐบาลที่ระดับ 7.5 ล้านล้านหยวน
ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยธนาคารกลางจีนบ่งชี้ว่า จำนวนชาวจีนที่พอใจกับระดับราคาในปัจจุบันปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี และมีผู้บริโภคเพียง 17.3% เท่านั้นที่วางแผนจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าส่งผลให้รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการต่างๆเพื่อควบคุมราคา รวมถึงการกระตุ้นซัพพลายและเพิ่มความช่วยเหลือด้านการเงินให้กับคนยากจน
นายหลี่ เตากุย หนึ่งในคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางจีนกล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีเป้าหมายที่จะจัดการกับการคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อและยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางการใช้นโยบายการเงิน โดยนายหลี่เชื่อว่า การควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบอย่างเข้มงวดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ นายหลี่กล่าวว่า ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากประเทศแถบตะวันตกกำลังฉลองวันหยุดในเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งธนาคารกลางจีนขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกริยาที่รุนแรงเกินไปจากตลาดทั่วโลก
นอกเหนือจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว จีนยังได้เพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ถึง 6 ครั้งในปี 2553 เป็น 18.5% และเพิ่มเพดานกันสำรองของธนาคารพาณิชย์รายใหญ่บางแห่งเป็น 19%
เหลียน ปิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากแบงค์ ออฟ คอมมิวนิเคชันส์ ซึ่งเป็นธนาคารปล่อยกู้รายใหญ่อันดับ 5 ของจีน กล่าวว่า "ธนาคารกลางจีนตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้า โดยธนาคารกลางให้ความสำคัญกับการควบคุมภาวะเงินเฟ้อเป็นลำดับแรก"
ทั้งนี้ นายเหลียนคาดว่า อัตราเงินเฟ้อของจีนจะพุ่งขึ้นอีกในไตรมาสแรกปีหน้า เนื่องจากอุปสงค์และต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งอิทธิพลจากตลาดในต่างประเทศ ซึ่งการแสดงความคิดเห็นของนายเหลียนสอดคล้องกับความเห็นของนายฮวง เจียน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี)
ขณะที่ผู้สังเกตการณ์รายอื่นๆเชื่อว่า จีนอาจจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเนื่องจากการแก้ปัญหาเงินเฟ้อและแรงกดดันด้านสภาพคล่องถือเป็นงานที่ยากลำบาก
"คุณไม่อาจคาดหวังว่าการขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 หรือ 2 ครั้งจะมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อสัญญาณบ่งชี้ทางเศรษฐกิจ" โจ เสี่ยวเล่ย หัวหน้านักวิเคราะห์จากกาแล็กซี ซิเคียวริตีส์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายเหลียนกล่าวว่า จีนอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 หรือ 3 ครั้งเท่านั้น เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ความเสี่ยงที่กระแสเงินร้อนไหลเข้าสู่ประเทศนั้น เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนต้องการเข้ามาทำกำไรในส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของจีนและสหรัฐซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่ำมาก
นอกจากนี้ นายหลี่ เตากุย ยังกล่าวด้วยว่า จีนปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อหลีกเลี่ยงการไหลเข้าของกระแสเงินทุน
หวัง เตา นักเศรษฐศาสตร์จากยูบีเอส ซิเคียวริตีส์ได้คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่า ธนาคารกลางจีนจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ก่อนช่วงปลายปีนี้ และคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในปี 2554
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 9.6% ต่อปี ในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 10.3% และจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 11.9% ขณะที่รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อสำหรับปี 2553 ไว้ที่ 3%