Analysis: นักวิเคราะห์คาดตลาดหุ้นนิวยอร์กปีนี้ยังสดใส แม้เผชิญความท้าทายไม่ต่างจากปีที่แล้ว

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 4, 2011 15:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดอ่อนตัวลงในวันทำการสุดท้ายของปี 2553 เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร แต่ภาวะการซื้อขายตลอดปีที่ผ่านมามีความแข็งแกร่งมากกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้น 11% ตลอดปี 2553 ขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 13% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นเกือบ 17%

อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป การใช้มาตรการคุมเข้มด้านการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่บางประเทศ แนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมทั้งความทรงจำที่หวาดวิตกเมื่อครั้งที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กตกอยู่ในภาวะทรุดตัวอย่างฉับพลัน (flash crash) เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเส้นทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กไม่ได้ราบรื่น

เมื่อพิจารณาถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเชื่อว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กจะยังคงปรับตัวขึ้นในปี 2554 แต่หนทางข้างหน้ายังคงไม่ราบรื่นเช่นกัน

ผลการสำรวจของ BarclayHedge and TrimTabs Investment Research กล่าวว่า 46% ของผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ตอบแบบสำรวจนั้น มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มดัชนี S&P 500 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบอย่างน้อย 7 เดือน และมากกว่าระดับ 30.5%ในการสำรวจเดือนก่อนหน้า ขณะที่ผลการสำรวจผู้จัดการกองทุนซึ่งจัดทำโดย Barron พบว่า ดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มปิดเกือบแตะระดับ 1,373 จุดในปีหน้า สูงกว่าระดับปิดในปี 2553 ที่ 1,257.64 จุดถึง 10% เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ การฟื้นตัวเกิดขึ้นในอีกหลายภาคส่วน โดยในระหว่างวันที่ 5 พ.ย.-24 ธ.ค. ผู้บริโภคได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น 5.5% ทำสถิติเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2548

ส่วนตลาดแรงงานก็กำลังกระเตื้องขึ้นอย่างช้าๆ โดยข้อมูลล่าสุดของกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลงมาอยู่ที่ระดับ 388,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2551 และนับเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีที่ตัวเลขดังกล่าวเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 400,000 ราย

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐจะขยายตัว 3% ในปีหน้า และมีนักวิเคราะห์เพียงไม่กี่รายที่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ของสหรัฐจะช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นด้วย โดยดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่ปลายเดือนส.ค.ปีที่แล้ว เมื่อนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการ QE2 และตราบใดที่สหรัฐยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ ก็คาดว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กจะเป็นหนึ่งในตลาดที่ดึงดูดนักลงทุนได้มากที่สุด

นอกจากนี้ คาดว่าการที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ริเริ่มเอาไว้นั้น จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน

อลัน วัลเดส เทรดเดอร์อาวุโสของตลาดหุ้นนิวยอร์กกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า "การขยายโครงการลดหย่อนภาษีจะช่วยให้เงินในกระเป๋าประชาชนมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและสร้างงานได้มากกว่ากว่า 1 ล้านตำแหน่ง และท้ายที่สุดแล้วก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นด้วย"

"ตลาดหุ้นนิวยอร์กมีแนวโน้มทะยานขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ แต่อาจจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อน" วัลเดสกล่าว

ทีโอดอร์ ไวส์เบิร์ก เทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปีในตลาดวอลล์สตรีท ยอมรับว่า นักลงทุนยังคงมองว่าปี 2554 จะมีความท้าทายที่ไม่แตกต่างจากที่เคยเผชิญในปี 2553 รวมถึงอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงมาก และวิกฤตหนี้ยุโรปที่คาดว่าจะยังคงเป็นปัจจัยถ่วงตลาดในปีนี้

ยูนิเครดิโต อิตาเลียโน คาดการณ์ว่า หลายประเทศในยูโรโซนอาจจะต้องระดมทุนเพิ่มอีก 5.60 แสนล้านยูโร (7.448 แสนล้านดอลลาร์) ในปี 2554 เพื่อใช้ในการชำระหนี้ โดยคาดว่าเฉพาะโปรตุเกสประเทศเดียวก็ต้องระดมทุนเงินสูงถึง 2 หมื่นล้านยูโร (2.66 หมื่นล้านดอลลาร์) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554

บทความโดย หนิว ไห่หรง จากสำนักข่าวซินหัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ