ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) ซึ่งเป็นการแข็งค่าติดต่อกัน 3 วันทำการ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงตัวเลขจ้างงานในภาคเอกชนและดัชนีภาคบริการ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 1.46% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.230 เยน จากระดับของวันอังคาร 82.030 เยน และแข็งค่าขึ้น 1.85% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9657 ฟรังค์ จากระดับ 0.9482 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรร่วงลง 1.15% แตะที่ 1.3148 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.3301 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.46% แตะที่ 1.5513 ปอนด์ จากระดับ 1.5584 ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.66% แตะที่ 0.9989 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.0055 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 1.19% แตะที่ 0.7576 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 0.7667 ดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดย ADP Employer Services รายงานว่า ภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐเพิ่มการจ้างงาน 297,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 100,000 ตำแหน่ง เนื่องจากการจ้างงานของเอกชนนอกภาคการเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งในเดือนธ.ค.
ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.ขยายตัวสู่ระดับ 57.1 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 55 จุด ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 และเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 4 ปี เนื่องจากภาคบริการมีมุมมองที่เป็นบวกแต่แนวโน้มการทำธุรกิจ
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 140,000 - 145,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.7% ในเดือนธ.ค.