ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจและคาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าเงินยูโรยังคงถูกกดดันจากแรงขาย เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป
ค่าเงินยูโรร่วงลง 1.07% แตะที่ 1.3010 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 1.3151 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.28% แตะที่ 1.5468 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5511 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับขึ้น 0.08% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.340 เยน จากระดับของวันพุธที่ 83.270 เยน และอ่อนตัวลง 0.12% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9648 ฟรังค์ จากระดับ 0.9660 ฟรังค์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.52% แตะที่ 0.9944 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 0.9996 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.17% แตะที่ 0.7567 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7580 ดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนธ.ค.ซึ่งกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยในคืนนี้นั้น จะเพิ่มขึ้น 140,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.7%
ดอลลาร์ได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ร่วงลง 3,500 ราย มาอยู่ที่ระดับ 410,750 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง แต่อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 18,000 ราย แตะระดับ 409,000 ราย
ส่วนค่าเงินยูโรยังคงอ่อนตัวลงเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า วิกฤตหนี้สาธารณะอาจจะลุกลามในยุโรป โดยนักลงทุนยังคงเดินหน้าเทขายสกุลเงินยูโร แม้มีรายงานว่าพันธบัตรล็อตแรกที่ออกโดยสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อระดมทุนให้กับไอร์แลนด์นั้น ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี โดยอียูสามารถจำหน่ายพันธบัตรอายุ 5 ปี มูลค่า 5 พันล้านยูโร (6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ได้หมดภายในระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ขณะที่ความต้องการพันธบัตรมีมากกว่าจำนวนพันธบัตรที่นำออกจำหน่ายถึง 3 เท่า
สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรปรับตัวขึ้นสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และเหนือกว่าระดับเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กำหนดไว้เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองปี ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทะยานขึ้น