นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 54 นี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวของไทยไว้ที่ 9.0-9.5 ล้านตัน ที่มูลค่าประมาณ 5,300-5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวนึ่งให้มากขึ้น หรือให้มีสัดส่วนประมาณ 50% ของปริมาณการส่งออกข้าวรวม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการส่งออก
ส่วนปี 53 ที่ผ่านมา ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ในปริมาณทั้งสิ้น 9.03 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 5,308 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่ส่งออกได้เป็นมูลค่า 5,027 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในแง่ของปริมาณเพิ่มขึ้น 5.1% และในแง่ของมูลค่าเพิ่มขึ้น 5.59% ซึ่งข้าวไทยมีสัดส่วนในตลาดโลก 30%
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า สาเหตุมาที่ไทยสามารถส่งออกข้าวในปี 53 ได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณความต้องการในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งตลาดข้าวสำคัญของไทยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ อิรัก ญี่ปุ่น เป็นต้น เพราะข้าวไทยมีคุณภาพดี และส่งมอบตรงเวลา
ประกอบกับ รัฐบาลได้ระบายข้าวสารในสต๊อกตั้งแต่เดือนก.ค.53 ทำให้การส่งออกข้าวไตรมาสสุดท้ายปี 53 เพิ่มขึ้นถึง 2.90 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปี 52 เพราะผู้ส่งออกไทยสามารถชนะประมูลข้าวในตลาดต่างประเทศ เช่น อิรัก บังคลาเทศ อิหร่าน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีการเร่งส่งออกข้าวขาวและข้าวนึ่งไปตลาดแอฟริกาได้มากขึ้นด้วย เช่น ประเทศไอเวอรี่ โคสต์, แคเมอรูน, ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ เป็นต้น
สำหรับการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(G to G)นั้น ในปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยขายให้กับรัฐบาลอินโดนีเซีย 50,000 ตันเท่านั้น ซึ่งขณะนี้อินโดนีเซียได้ชำระเงินให้รัฐบาลไทยแล้ว ส่วนขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับอีก 2 ประเทศ รวมปริมาณ 300,000 ตัน เช่น บังคลาเทศ เป็นต้น
ด้านนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ราคาข้าวไทยในปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะขณะนี้สต๊อกข้าวของรัฐบาล ที่มีมากถึง 5.6 ล้านตันได้ลดลงเหลือประมาณ 1 ล้านตันแล้ว จึงไม่ใช่ข้ออ้างที่ผู้นำเข้าจะใช้กดดันราคาข้าวไทยให้ตกต่ำ ประกอบกับ ขณะนี้เกษตรกรได้เก็บเกี่ยวข้าวนาปีและขายออกเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงข้าวหอมมะลิในมือเกษตรกรไม่มากนัก อีกทั้งอากาศที่แปรปรวนทำให้ปริมาณผลผลิตโลกลดลงไปมาก