ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 54 จะอยู่ที่ 4.4% ลดลงจากปี 53 ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเติบโตในระดับ 7.8% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3.7% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน อยู่ที่ 1.5-1.9% ซึ่งยังอยู่ในกรอบประมาณการของธปท.
ส่วนในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย มองว่ายังไม่ควรมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ควรจะปรับในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าทั้งปีจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5%
ขณะที่มองค่าเงินบาท ในช่วงครึ่งปีแรกจะอ่อนค่ามาอยู่ที่ 31.50 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะกลับไปแข็งค่าในระดับ 29 บาท/ดอลลาร์ช่วงครึ่งปีหลัง
นางอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 54 จะเติบโตสอดคล้องกับภูมิภาค ซึ่งอาจจะเติบโตในอัตราชะลอลง ตามแรงหนุนของภาคการส่งออกที่ชะลอลงทั้งภูมิภาค ดังนั้น เศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนจากในประเทศเป็นหลัก
"เป็นไปได้สูงที่ไทยจะมีการเลือกตั้งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เลยทำให้นโยบายการคลังที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะชะลอลงไปบ้าง ทำให้นโยบายด้านการคลังและการลงทุนเมกะโปรเจคต์ อาจล่าช้าออกไปเป็นช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลงไปบ้าง ส่วนนโยบายด้านการเงิน จะแผ่วลงเนื่องจากธปท.ได้ปรับขึ้นอาร์พีตั้งแต่ครึ่งปีหลังปี 53 เนื่องจากอยากให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงจากติดลบกลับมาเป็นบวก ธปท.จะใช้นโยบายการเงินน้อยลง"
นางอุสรา กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรจะขึ้นดอกเบี้ยอาร์พีในช่วงครึ่งปีหลังดีกว่า เพราะในช่วงครึ่งปีแรกจะมีปัญหาเรื่องเงินทุนไหลออกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ประกอบกับ อัตราเงินเฟ้อในครึ่งปีแรกยังอยู่ในระดับต่ำเพราะรัฐบาลจะมีมาตรการหลายอย่างที่เข้ามาดูแล
หากขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งปีแรกในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ดีจะกระทบต้นทุนอุตสาหกรรมเร่งตัวขึ้น ประกอบกับ ไทยไม่มีปัญหาเรื่องฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น คาดว่า ธปท.น่าจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งปีแรกเป็นในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่า
ขณะที่ค่าเงินบาท ในช่วงครึ่งปีแรกเงินบาทจะอ่อนค่า ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าในช่วงครึ่งหลังที่ 29 บาท/ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามการแข็งค่าของเงินบาทจะน้อยกว่าปี 53 เพราะไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดน้อยลงจากการส่งออกชะลอตัว ประกอบกับครึ่งปีแรกจะมีเงินไหลเข้าอย่างมากก่อนจะกลับเข้ามาใหม่ในครึ่งหลัง ประกอกกับตลาดยังมีความกังวลกับ capital control
"GDP ที่ 4.4% อยู่ภายใต้สมมติฐานมีรัฐบาลใหม่ ประเด็นที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกคือการเลือกตั้ง ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนว่าครึ่งปีหลังใครเข้ามาเป็นรัฐบาล ทำให้นักธุรกิจหยุดดูเพื่อรอการตัดสินใจ จะทำให้กิจกรรมทางเศรษบกิจเฉื่อยลง ส่วนนักลงทุนต่างประเทศอาจจะเอาเงินไหลออกเพราะเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ซึ่งตรงนี้อาจมีผลต่อความเชื่อมั่น บริโภค ลงทุนชะลอลง" นางอุสรา กล่าว