ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 ม.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจที่จะซื้อพันธบัตรของรัฐบาลโปรตุเกส และญี่ปุ่นประกาศแผนเข้าซื้อพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลในกลุ่มยูโรโซน ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าประเทศที่ประสบปัญหาด้านการเงินในยุโรปจะสามารถระดมทุนได้สูงพอที่จะคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะได้
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.27% แตะที่ 1.2976 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2941 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.28% แตะที่ 1.5614 ปอนด์ จากระดับ 1.5570 ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.52% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.190 เยน จากระดับของวันจันทร์ที่ 82.760 เยน และดีดตัวขึ้น 0.57% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9733 ฟรังค์ จากระดับ 0.9678 ฟรังค์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.84% แตะที่ 0.9871 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.9955 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.33% แตะที่ 0.7606 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7631 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินยูโรได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นในสถานะทางการเงินของยุโรป หลังจากมีรายงานว่า ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจซื้อพันธบัตรของโปรตุเกสเพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตหนี้สาธารณะลุกลามในภูมิภาค
นอกจากนี้ ยูโรยังได้ปัจจัยบวกจากหลังจากนายโยชิฮิโกะ โนดะ รมว.คลังญี่ปุ่นกล่าวว่า ญี่ปุ่นอาจจะซื้อหลักทรัพย์ที่ออกโดยกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ในจำนวนกว่า 20% ในรอบแรก โดยการประกาศนี้มีขึ้นหลังจากที่มีรายงานว่า จีนพร้อมที่จะซื้อตราสารหนี้ของโปรตุเกส 4 - 5 พันล้านยูโร
นักลงทุนยังจับตาดูการประมูลขายพันธบัตรของรัฐบาลโปรตุเกสในวันที่ 12 ม.ค. และการประมูลขายพันธบัตรของรัฐบาลสเปนในวันที่ 13 ม.ค.นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าโปรตุเกสจะสามารถระดมทุนได้มากพอควร แต่ก็อาจจะเผชิญกับอัตราผลตอบแทนที่สูงจนถึงระดับที่ทำให้โปรตุเกสต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) เช่นเดียวกันกรีซและไอร์แลนด์
นักวิเคราะห์ในตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กมองว่า ภาพรวมของสถานะทางการเงินของโปรตุเกสจะชัดเจนขึ้นเมื่อรัฐบาลเปิดประมูลขายพันธบัตรอายุ 3 ปี และ 9 ปีในวันพุธนี้ โดยคาดว่าหากความต้องการจองซื้อพันธบัตรลดน้อยลง หรือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปมากขึ้นด้วย
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย.ปรับตัวลดลง 0.2% จากเดือนต.ค. มาอยู่ที่ระดับ 4.255 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี โดยตัวเลขสต็อกสินค้าทั้งในภาคค้าส่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการประเมินวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญด้านอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ รวมถึงรายงานงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐเดือนธ.ค. ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนพ.ย. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค. ข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค.