นายศิริศักดิ์ วิทยอุดม รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เพื่อพิจารณาโครงสร้างราคาปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) หน้าโรงกลั่นใหม่ หลังจากได้ตรึงราคาไว้ที่ 332 ดอลลาร์/ตัน หรือกิโลกรัมละ 18.13 บาท ซึ่งส่งผลให้โรงกลั่นในประเทศไม่ยอมผลิตแอลพีจีออกมาจำหน่ายจนต้องนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยที่ประชุม กบง.จะมีการพิจารณาปรับราคาจำหน่ายแอลพีจีหน้าโรงกลั่นเพิ่มขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ว่าจะปรับสูงกว่าราคาน้ำมันเตาแต่ไม่เกินราคาแอลพีจีตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเตาอยู่ที่ 500-600 ดอลลาร์/ตัน ขณะที่ราคาแอลพีจีตลาดโลกอยู่ที่ 920 ดอลลาร์/ตัน เพื่อจูงใจให้โรงกลั่นหันมาผลิตแอลพีจีเพื่อจำหน่ายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าลงได้ส่วนหนึ่ง จากปัจจุบันที่มีการนำเข้าเฉลี่ย 1.3-1.5 แสนตัน/เดือน
นอกจากนี้ ที่ประชุม กบง.อาจมีการพิจารณาขอใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อนำมาชดเชยราคาน้ำมันไบโอดีเซล B3 และ B5 อีกครั้ง เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 91.11 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ปรับขึ้นทุกชนิด ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันในประเทศเฉลี่ยลดต่ำกว่า 1 บาท/ลิตร จากค่าการตลาดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1.50 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดน้ำมันไบโอดีเซล B3 อยู่ที่ 97 สตางค์/ลิตร ,ไบโอดีเซล B5 อยู่ที่ 76 สตางค์/ลิตร, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 1.08 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 91 สตางค์/ลิตร และเบนซิน 91 อยู่ที่ 1 บาท/ลิตร
ทั้งนี้จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงมีแนวโน้มว่า บมจ.ปตท.(PTT) และ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) อาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดเร็วๆ นี้อีกครั้ง และส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงเกิน 30 บาท/ลิตร ดังนั้น กบง.จึงต้องนำเงินเข้าไปอุดหนุนราคาก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยขณะนี้ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 29.99 บาท/ลิตร และไบโอดีเซล B5 อยู่ที่ 29.39 บาท/ลิตร