อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า พัฒนาการของเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยและต่างประเทศในระยะข้างหน้า ย่อมจะมีผลต่อการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระยะถัดๆ ไป โดยหากเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ (โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน) สามารถรักษาแรงส่งต่อการขยายตัวได้ดีกว่าสถานการณ์ที่ประเมินภาพในขณะนี้
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าว ก็อาจวกกลับมาเป็นปัจจัยที่หนุนให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งย่อมจะทำให้แรงกดดันที่จะส่งผ่านมายังเงินเฟ้อของไทยเร่งตัวสูงขึ้นอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง ขณะที่ มาตรการตรึงราคาพลังงานบางส่วนในประเทศ และการดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิดของกระทรวงพาณิชย์ อาจลดทอนแรงกดดันเงินเฟ้อลงได้บางส่วนเท่านั้น
สำหรับนัยต่อผู้ประกอบการไทยในปี 54 คงจะต้องมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้นทุนการผลิตหลายด้านโน้มสูงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทะยานขึ้นของราคาวัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน ราคาน้ำมัน/ค่าขนส่ง ขณะที่ต้นทุนทางการเงินในปีนี้ก็อาจขยับขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า น่าที่จะยังคงอยู่ในจังหวะที่เป็นขาขึ้นตามวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ที่ยังคงไม่มีสัญญาณว่า จะสิ้นสุดลงในช่วงเวลานี้