ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) หลังจากรัฐบาลโปรตุเกสประสบความสำเร็จในการประมูลพันธบัตร อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ปัญหาหนี้ของโปรตุเกรสได้รับการบรรเทาเพียงชั่วคราว และยังคงมีความเป็นไปได้ว่าโปรตุเกสจะต้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู)
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.19% แตะที่ 1.3130 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.2975 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.99% แตะที่ 1.5767 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5613 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง 0.30% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.950 เยน จากระดับของวันอังคารที่ 83.200 เยน และร่วงลง 0.76% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9660 ฟรังค์ จากระดับ 0.9734 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.86% แตะที่ 0.9952 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 0.9867 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.16% แตะที่ 0.7619 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7607 ดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแข็งแกร่งหลังจากรัฐบาลโปรตุเกสสามารถประมูลขายพันธบัตรมูลค่า 1.25 พันล้านยูโร หรือ 1.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด โดยสัดส่วนของการจองซื้อพันธบัตรอายุ 4 ปีมีอยู่มากกว่าปริมาณพันธบัตรถึง 2.6 เท่า และสัดส่วนของการจองซื้อพันธบัตรอายุ 10 ปีมีมากกว่าปริมาณพันธบัตรถึง 3.2 เท่า
ผลการประมูลพันธบัตรที่ออกมาอย่างน่าพอใจทำให้สกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นเหนือระดับ 1.31 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนมองว่า สกุลเงินยูโรจะแข็งแกร่งเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น และการประมูลพันธบัตรในครั้งนี้ก็อาจจะไม่ช่วยให้รัฐบาลโปรตุเกสแก้ปัญหาหนี้สาธารณะได้ โดยคาดว่าในที่สุดแล้วโปรตุเกสอาจจะต้องขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากไอเอ็มเอฟและอียูเช่นเดียวกับกรีซและไอร์แลนด์
นักวิเคราะห์คาดว่า หลังจากทราบผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลโปรตุเกสเมื่อวานนี้แล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่จะหันไปจับตาดูผลการประมูลพันธบัตรของรัฐบาลสเปนและอิตาลีในวันพฤหัสบดีนี้
ส่วนค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงเดือนพ.ย.จนถึง ธ.ค.2553 ขยายตัวปานกลาง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจบริการในทุกภูมิภาคมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2553
กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขาดดุลงบประมาณในเดือนธ.ค.ปี 2553 อยู่ที่ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าระดับ 9.1 หมื่นล้านดอลลาร์ของเดือนธ.ค.ปี 2552
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญด้านอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ รวมถึงข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนพ.ย. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค. ข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค.