นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวแสดงความคิดเห็นในการประชุมซึ่งบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) จัดขึ้นที่เมืองอาร์ลิงตัน มลรัฐเวอร์จิเนียว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ถึง 4.0% ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้กล่าวว่า การขยายตัวที่ระดับดังกล่าวยังไม่สามารถฉุดอัตราว่างงานให้ปรับตัวลดลงได้
"เรามองว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่าเศรษฐกิจอาจจะขยายตัวราว 3-4% ซึ่งดูเหมือนเป็นอัตราการขยายตัวที่สมเหตุสมผล" เบอร์นันเก้กล่าว
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะฉุดอัตราว่างงานให้ปรับตัวลดลงได้ โดยปัจจุบันอัตราว่างงานของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 9.4%
"ขณะนี้เรายังไม่สามารถลดอัตราว่างงานให้อยู่ในระดับเราต้องการได้ แต่แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีที่จะเห็นเศรษฐกิจขยายตัวขึ้น ซึ่งหมายถึงยอดขายปรับตัวสูงขึ้น และธุรกิจของบริษัททุกๆขนาดเติบโตขึ้นด้วย" เขากล่าว
เบอร์นันเก้กล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่เฟดประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มอีก 6 แสนล้านดอลลาร์นั้น สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่สดใสขึ้น และยังบ่งชี้ว่าโครงการซื้อพันธบัตรของเฟดไม่ล้มเหลว
"อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งผมคิดว่าเป็นข่าวดีที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวขึ้นและคาดการณ์ที่ดีขึ้น" เบอร์นันเก้กล่าว
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.31% จากระดับ 2.57% ของวันที่ 3 พ.ย.ซึ่งเป็นวันเฟดอนุมัติการซื้อพันธบัตรรัฐบาล 6 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า เขามีมุมมองที่เป็นบวกว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นสินเชื่อให้ไหลเวียนสู่ธุรกิจขนาดเล็กและหนุนยอดขายของธุรกิจกลุ่มนี้ให้สูงขึ้นด้วย โดยเบอร์นันเก้และเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆกำลังหาสาเหตุที่ทำให้ปริมาณสินเชื่อหมุนเวียนในธุรกิจขนาดเล็กอ่อนแอลง และกำลังหาแนวทางอื่นๆนอกเหนือจากการใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงิน เพื่อลดอัตราว่างงานที่เคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีอยู่ในขณะนี้
"หากยอดขายฟื้นตัวขึ้น ก็จะทำให้ธุรกิจต่างๆแข็งแกร่งขึ้นด้วย ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากขึ้น" เบอร์นันเก้กล่าว