บริษัทของสหรัฐจำนวนมากกำลังเพิ่มการลงทุนในประเทศจีน เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงขยายตัวแข็งแกร่งในอีกหลายปีนับจากนี้ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงอุตสาหกรรมของสหรัฐ เช่น เจนเนอรัล อิเล็กทริก, พร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล, ฟอร์ด มอเตอร์, สตาร์บัคส์ และคาร์ลิล กรุ๊ป ประกาศแผนเพิ่มการลงทุนในประเทศจีน
ข้อมูลเชิงสถิติของกระทรวงการคลังจีนระบุว่า บริษัทสหรัฐได้เข้ามาลงทุนในประเทศจีน ณ ปลายปี 2553 มีมูลค่าทั้งสิ้น 6.522 หมื่นล้านดอลลาร์ ในโครงการต่างๆกว่า 59,000 โครงการ
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า จีนมีบทบาทด้านการลงทุนของบริษัทสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่ามมา โดยคาดว่าบริษัทของสหรัฐจะสามารถทำกำไรจากการลงทุนในประเทศจีนได้มากขึ้น ขณะที่ผลสำรวจทางธุรกิจซึ่งจัดทำโดยสมาคมหอการค้าสหรัฐในประเทศจีน (AmCham-China) บ่งชี้ว่า บริษัทสหรัฐที่เป็นสมาชิกของสมาคม AmCham-China สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น 71% ในปี 2552
ข้อมูลของกรมศุลกากรจีนระบุว่า ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ และเป็นตลาดส่งออกที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดของสหรัฐ โดยจีนนำเข้าสินค้าและการบริการจากสหรัฐในปี 2553 ที่ระดับ 1.0204 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 31.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี
นายโจว ชีเจียน นักวิจัยอาวุโสของศูนย์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนแห่งมหาวิทยาลัยซิงหัว กล่าวว่า "หากยอดการส่งออกจากสหรัฐไปยังประเทศจีนไม่สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วแล้ว ก็คงเป็นเรื่องยากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะผลักดันยอดการส่งออกให้เพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักในระยะ 5 ปีได้"
ขณะที่นายหลิว ไห่กวน ผู้อำนวยการสำนักงานการค้าของกระทรวงการพาณิชย์จีนกล่าวว่า "สินค้าจีนสร้างความพอใจให้กับลูกค้าของสหรัฐ และช่วยให้สหรัฐสามารถสร้างเสถียรภาพด้านราคา ลดความเสี่ยงที่เกิดจากเงินเฟ้อ และหนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน" สำนักข่าวซินหัวรายงาน