นายตาเลบ ไรฟาย เลขาธิการองค์กรการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับซินหัวก่อนวันงาน International Tourism Fair ครั้งที่ 31 ซึ่งจัดขึ้นที่มาดริดว่า กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก
"ปี 2553 เป็นปีแห่งการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวโลก โดยอัตราการขยายตัว 7% ถือว่าน่าประทับใจ" เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม เขาเผยว่าอัตราการฟื้นตัวไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ โดยจีน อินเดีย มาเลเซีย และเกาหลี เป็นผู้นำในการฟื้นตัว แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของประเทศกำลังพัฒนา
"กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาด และในปีนี้จีนอาจกลายเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากเป็นอันดับ 3 ของโลก จากที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังเป็นผู้นำในการฟื้นตัว" เขากล่าว
นอกจากนั้นนายไรฟายยังเน้นถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวในประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดเล็กด้วย
"แม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศเล็กๆ ก็สำคัญ การท่องเที่ยวกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่าง" เขากล่าว
สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญมากในอนาคต
"ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และส่งอิทธิพลไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจำนวนมากเริ่มมีจิตสำนึกและมีความรับผิดชอบมากขึ้น" เขากล่าว
นายไรฟายกล่าวว่า การที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยวในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนากันมากขึ้นอาจทำลายสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศนั้นๆ แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการบริหารจัดการที่ดี
"การบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวจะกลายเป็นความท้าทายในอนาคต ผู้คนต่างท่องเที่ยวไปทั่วโลกและเราไม่มีสิทธิห้ามไม่ให้พวกเขาไปเยือนสถานที่ที่น่าสนใจ สิ่งที่เราทำได้คือการเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและไม่ส่งผลกระทบต่อสถานที่ท่องเที่ยว" เขากล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน