นายกฯ นำคณะไปร่วมประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส 28-31 ม.ค.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 24, 2011 10:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกรัฐมนตรีเตรียมนำคณะเดินทางไปร่วมการประชุมประจำปี World Economic Forum พร้อมแสดงวิสัยทัศน์การเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมืองของโลกภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ณ เมืองดาวอส ประเทศสมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 28-31 ม.ค.นี้

โดยคณะที่จะร่วมเดินทางไปครั้งนี้ ประกอบด้วย นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ, นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย และคณะนักธุรกิจไทย ได้แก่ บมจ.ปตท(PTT), บมจ.การบินไทย(THAI), บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และธนาคารกรุงเทพ มีกำหนดการเดินทางเยือน สมาพันธรัฐสวิส เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจำปี World Economic Forum ณ เมืองดาวอส ระหว่างวันที่ 28 — 31 มกราคม 2554 ดังนี้

สำหรับการประชุมครั้งนี้มีหัวข้อหลัก คือ "Shared Norms for the New Reality" เพื่อสะท้อนถึงความกังวลของผู้นำโลกถึงความซับซ้อนและความเชื่อมโยงของประเด็นต่างๆ ในโลกภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจโลก และการเสื่อมถอยของคุณค่าและหลักการที่ประชาคมโลกยึดถือร่วมกันอันนำไปสู่การลดทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความเป็นผู้นำของรัฐ รวมทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต

การเข้าร่วมประชุมฯ ของนายกรัฐมนตรีในปีนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ด้านการดำเนินนโยบายเสริมสร้างการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม( Inclusive Growth ) ภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยแสดงความเป็นผู้นำและแนวทางของรัฐบาลต่อการเสริมสร้างความเท่าเทียมด้านสังคม และการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน รวมถึงแสดงความเข้มแข็งของภาคเอกชนไทยในด้านที่ไทยเป็นผู้นำในตลาดโลก เนื่องจากปีนี้ภาคเอกชนของไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิก WEF โดย 5 บริษัทได้สมัครสมาชิกระดับ Foundation Member และผ่านการอนุมัติแล้ว คือ ปตท, การบินไทย, บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ และ กฟผ. ส่วนธนาคารกรุงเทพ อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับภาคเอกชนไทยก้าวสู่เวทีระดับโลก และประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพการประชุมฯ ในปี 2555 ซึ่งเป็นการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกของ WEF โดยจะมีนักธุรกิจและสื่อระดับนำของโลกเข้าร่วมกว่า 400 คน ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของประชาคมธุรกิจโลกที่มีต่อประเทศไทย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะร่วมกล่าวเปิดใน Informal Gathering of World Economic Leaders ในหัวข้อ Toward a New Growth Model เพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเสริมสร้างการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปฏิรูประบบระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ความตระหนักรู้ถึงความร่วมรับผิดชอบร่วมกันต่อผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของตนเอง และการให้ความสำคัญต่อการปฏิรูประบบเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและภูมิต้านทานของเศรษฐกิจตนเอง โดยนายกรัฐมนตรีจะยกตัวอย่างนโยบายการปฏิรูประบบเศรษฐกิจและสังคมของไทยตามโครงการเร่งรัดปฏิบัติการเพื่อคนไทย,

พร้อมกันนี้ จะร่วมเป็นผู้อภิปรายในการอภิปราย Interactive Session ในหัวข้อ A Social Contract for the 21st Century ซึ่งจะอภิปรายถึงแนวทางปรับปรุงสิทธิและความรับผิดชอบระหว่างรัฐและประชาชน(social contract) ภายหลังสภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยนายกรัฐมนตรีจะหยิบยกประเด็นที่รัฐจะต้องเน้นการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินนโยบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหัวข้อดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญที่มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก,

และ แสดงความคิดเห็นในงานเลี้ยงอาหารค่ำ Anti-corruption Dinner หัวข้อ Growing Big, Learning that Small is Beautiful: Doing Business with Integrity in Engines of Growth,

ร่วมการประชุมหัวข้อ Creating Shared Norms:The Century’s Leadership Challenge ซึ่งจะหารือเกี่ยวกับความแตกแยกในสังคมที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นและแนวทางที่ผู้นำประเทศต่างๆ จะสามารถนำทางประชาชนและประชาสังคมในศตวรรษที่ 21 โดยนายกรัฐมนตรีจะเน้นการสร้างการบรรทัดฐานระดับโลกร่วมกัน ได้แก่ การสร้างความร่วมมือระดับโลก การสร้างความเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากบรรทัดฐานดั้งเดิมของสังคมในศตวรรษที่ 20 ได้แก่ ความเป็นอธิปไตย การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การมุ่งเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ก่อให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างที่ได้ส่งผลกระทบสู่ศตวรรษ 21 ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม ความแตกแยกทางสังคม ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ,

ร่วมการหารือหัวข้อ Business Interaction Group on Thailand โดยมี CEOs ของค่ายรถยนต์ชั้นนำของโลกและบริษัทในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ Renault-Nissan, Audi, Hyundai, Volkswagen และ Michelin โดยนายกรัฐมนตรีจะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถึงโอกาสของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย นโยบายของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของอาเซียน และวิสัยทัศน์ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของไทย,

ร่วมหารือหัวข้อ The Role of the Group of 20 in Multilateral Systems, ร่วมเป็นผู้นำอภิปรายในหัวข้อ Stabilizing Commodity Price and Supply in a Resource-Constrained World โดยนายกรัฐมนตรีจะหยิบยกประเด็นการดำเนินการของไทยในการรักษาระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและสินค้าพลังงาน รวมทั้งวิสัยทัศน์ต่อการพัฒนาตลาดล่วงหน้าสินค้าเกษตรของไทยเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของเกษตรกร

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะได้พบหารือกับศาสตราจารย์ Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการบริหาร World Economic Forum เพื่อหารือถึงความร่วมมือกับ WEF ในการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของไทย รวมถึง หารือทวิภาคีกับผู้นำภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญ อาทิ บริษัท Dow Chemical, บริษัท Unilever, กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย

ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมฯ ครั้งนี้มีสื่อมวลชนต่างประเทศแสดงความประสงค์ขอสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ CNN, สถานีโทรทัศน์ CNBC Asia, สำนักข่าว BBC, สำนักข่าว Bloomberg, สำนักข่าว Euronews และหนังสือพิมพ์ Financial Times ซึ่งมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย นโยบายสำคัญของรัฐบาลในการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ สถานการณ์การเมืองไทยสู่การเลือกตั้ง และ การส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงและสร้างความมั่นใจต่อสถานการณ์การเมืองของไทย รวมถึงความเชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านสื่อมวลชนด้านเศรษฐกิจที่สำคัญได้อย่างกว้างขวางและน่าเชื่อถือ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ