นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 วงเงิน 2.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากงบประมาณปีก่อน หรือ 1.8 แสนล้านบาท โดยเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้เสนอขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 จำนวน 2.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากงบประมาณปีก่อน หรือจำนวน 1.8 แสนล้านบาท โดยเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) โดยขาดดุลลดลง 16.7% หรือ 7 หมื่นล้านบาทจากปีงบ 2554 ที่ขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท
โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 1,820,313.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณที่ผ่านมา 9.6%, รายจ่ายการลงทุน 382,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% และเป็นรายจ่ายเพื่อชำระคืนเงินกู้ 47,186.4 ล้านบาท
ส่วนประมาณการรายได้ 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.3% ต่อ GDP เพิ่มขึ้น 15.2% จากปีงบ 54 วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท ลดลง 16.7% จากปีงบ 54 และกรอบวงเงินกู้สูงสุดเพื่อชดเชยการขาดดุลตาม พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ 4.87 หมื่นล้านบาท ลดลง10.8% จากปีงบ 54
ทั้งนี้การจัดทำงบประมาณดังกล่าวภายใต้สมมติฐานทางเศรษฐกิจว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2555 จะขยายตัวประมาณ 4.5% อัตราเงินเฟ้อประมาณ 3.5% การส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามการผันผวนของราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบในตลาดโลกอาจจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำให้ต้นทุนการผลิตและการบริโภคสูงขึ้น
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ได้ปรับลดวงเงินขาดดุลลงเหลือ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ไปจะทยอยปรับลดการขาดดุลลงเรื่อยๆ เพื่อรักษาวินัยการคลัง ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลภายในระยะเวลา 5 ปีตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติงบกลางปี 54 จำนวน 1 แสนล้านบาท โดยจะนำไปใช้ในการชดเชยเงินคงคลัง 8.4 หมื่นล้านบาท จัดสรรให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นราว 6 พันล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกราว 1 หมื่นล้านบาท จะนำไปใช้เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 53 ซึ่งคาดว่าจะเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 54 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระแรกได้ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ หรืออาจช้ากว่านั้นราว 1-2 สัปดาห์