เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ที่สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งชาติของสหรัฐที่นครวอชิงตัน ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ แต่ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะฉุดอัตราว่างงานให้ลดลงได้ พร้อมระบุว่า สหรัฐจำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อลดปัญหาด้านการคลังในระยะยาว
"สหรัฐยังคงเผชิญปัญหาท้าทายด้านการคลังในระยะยาว ซึ่งไม่ใช่ปัญหาระยะสั้นหรือปัญหาชั่วคราว ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 9% ของตัวเลขจีดีพี เพิ่มขึ้นจากระดับเฉลี่ยก่อนหน้านั้นที่ 2% ของจีดีพี ซึ่งการขาดดุลงบประมาณที่สูงอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของสถานะการคลัง อันเป็นผลมาจากการที่คณะทำงานรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ใช้มาตรการที่แข็งแกร่งพอ" เบอร์นันเก้กล่าว
เบอร์นันเก้ยังกล่าวด้วยว่า แม้เศรษฐกิจและตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในสภาวะที่ดีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ยอดขาดดุลงบประมาณยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น และงบประมาณการใช้จ่ายในโครงการสวัสดิการเพื่อสุขภาพ
สำนักงบประมาณแห่งรัฐสภาสหรัฐ (CBO) ประมาณการว่า รัฐบาลกลางสหรัฐจะมียอดขาดดุลงบประมาณปี 2554 สูงถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และ 6.65 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2555 เนื่องจากการใช้จ่ายในโครงการสวัสดิการด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงโครงการ Medicare และ Medicaid ซึ่งเป็นระบบประกันสุขภาพที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังได้กล่าวปกป้องการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารย์อย่างหนักว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้มีกระแสเงินทุนทลักเข้าสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายชัดเจนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ
"การกล่าวโทษว่ามาตรการ QE2 ที่ดำเนินการผ่านโครงการซื้อพันธบัตรระยะยาวมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ เป็นต้นเหตุของสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงิน ถือเป็นการกล่าวโทษที่ไม่เป็นธรรม เพราะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ต่างก็มีเครื่องมือพร้อมอยู่แล้วในดูดซับสภาพคล่องส่วนเกิน ในขณะที่สหรัฐจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเพื่อกระตุ้นสภาพคล่อง กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่สามารถควบคุมสภาพคล่องส่วนเกินได้ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็มีบางประเทศเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น " เบอร์นันเก้กล่าว
ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งชาติของสหรัฐนั้น เบอร์นันเก้ได้แสดงเชื่อมั่นว่า มาตรการ QE2 จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและลดภาวะตึงตัวในระบบการเงินได้ พร้อมกับกล่าวว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับภาวะสภาพคล่องส่วนเกินในวันข้างหน้า เฟดก็มีเครื่องมือที่จำเป็นที่พร้อมจะดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบในเวลาที่เหมาะสม
ทั้งนี้ เบอร์นันเก้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเร็วขึ้นในปีนี้ เพราะได้แรงหนุนจากการอุปโภคบริโภคที่แข็งแกร่ง และตัวเลขการใช้จ่ายภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ยอมรับว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังฟื้นตัวไม่แข็งแกร่งพอที่จะฉุดอัตราว่างงานให้ลดลงได้ ซึ่งทำให้เฟดยังเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรในวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือ QE2 ต่อไปจนสิ้นสุดโครงการในเดือนมิ.ย.ปี 2554 ตามแผนการที่วางไว้ โดยเฟดจะทบทวนจังหวะเวลาในการเข้าซื้อพันธบัตรและขนาดของโครงการซื้อพันธบัตรเป็นระยะๆ และอาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น เพื่อเป้าหมายที่จะหนุนตัวเลขการจ้างงานให้สูงขึ้นและทำให้ราคามีเสถียรภาพมากขึ้น สำนักข่าวซินหัวรายงาน