เมื่อการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนสิ้นสุดลง ธนาคารกลางจีนก็ได้ฤกษ์เปิดฉากขึ้นอัตราดอกเบี้ยทันที โดยธนาคารกลางจีนได้ประกาศเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ว่า ธนาคารจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากอีก 0.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.เป็นต้นไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปีอยู่ที่ระดับ 6.06% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปีอยู่ที่ 3.00%
ธนาคารกลางจีนได้ขึ้นดอกเบี้ยไป 2 ครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายมองว่า ยังไงจีนก็คงต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาเท่านั้นว่า จีนจะเลือกขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไร เพราะจีนจำเป็นต้องใช้วิชาสกัดจุดเพื่อรับมือกับแรงกดดันในการควบคุมเงินเฟ้อ
การขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้นับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2554 หลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% จำนวน 2 ครั้งในปี 2553 คือในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี และอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2553 เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและราคาสินทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้น
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนนั้น ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และทำสถิติพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงเมื่อเดือนพ.ย. 2553 โดยดัชนี CPI เดือนพ.ย.นั้น ถีบตัวขึ้น 5.1% ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 28 เดือน จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 4.4%
โดยถึงแม้ว่าในเดือนธันวาคม ดัชนีได้อ่อนตัวลงเล็กน้อยที่ระดับ 4.6% แต่ดัชนี CPI ตลอดทั้งปี 2553 ดีดตัวขึ้น 3.3% ในปี 2553 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายทางการของรัฐบาลที่ 3%
เมื่อมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญของประเทศยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกลางจีนจึงอยู่เฉยไม่ได้ และได้ตัดสินใจประกาศเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.50% เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.
การปรับเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่ต้นปี 2552 โดยมีเป้าหมายที่จะดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบเศรษฐกิจ หลังจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือนเมื่อเดือนพ.ย.
ก่อนหน้าที่ธนาคารกลางจีนจะประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองเงินฝากนั้น คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ได้ออกมาคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของจีนจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 โดยเฉพาะในไตรมาสแรก
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นกับการแก้ปัญหาราคาบ้านในเมืองที่พุ่งสูงขึ้นมาก โดยมาตรการที่มีการนำมาใช้นั้นมีทั้งการควบคุมการซื้อบ้าน และการกำหนดให้มีการจ่ายเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับการซื้อบ้านหลังที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 60% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์
กระทรวงคลังจีนได้ประกาศใช้มาตรการจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์โครงการอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัย โดยจะมีการเริ่มจัดเก็บภาษีในเมืองเซี่ยงไฮ้ และเมืองฉงชิ่ง ส่วนเมืองอื่นๆนั้นจะมีการจัดเก็บภาษีในภายหลังเช่นกัน
การจัดเก็บภาษีอสังหาฯครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่มีเป้าหมายในการป้องกันภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯ ซึ่งการจัดเก็บภาษีครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้กับผู้มีฐานะที่มีบ้านหลังใหญ่ และมีการครอบครองอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนมาก
แม้ว่าจีนได้พยายามที่จะคุมเข้มด้านสินเชื่อเพื่อควบคุมราคาที่อยู่อาศัยที่ดีดตัวขึ้น แต่ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มว่าจะดีดตัวขึ้นต่อไป เทศบาลเซี่ยงไฮ้ระบุว่า จะมีการจัดเก็บภาษีบ้านหลังที่ 2 ที่ประชาชนเป็นผู้ซื้อ รวมทั้งการจัดเก็บภาษีกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่ไม่ใช่ประชาชนในพื้นที่
ผลพวงจากการงัดสารพัดวิชามาสกัดเงินเฟ้อนั้น ส่งผลให้การขยายตัวในภาคการผลิตเดือนม.ค.ชะลอตัวลง ข้อมูลจากสมาพันธ์โลจิสติคส์และการจัดซื้อของจีน (CFLP) เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ชี้ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนขยายตัวที่ระดับ 52.9 จุด ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.ที่ 53.9 จุด
อัตราการขยายตัวของภาคการผลิตจีนดังกล่าวสะท้อนให้เห้นว่า ดัชนีชี้วัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังคงอยู่เหนือวัฏจักรเศรษฐกิจสูงสุดและต่ำสุด (boom-bust cycles) หรือเป็นเส้นแบ่งของภาวะแข็งแกร่งและภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ที่ระดับ 50 จุด เป็นเวลาต่อเนื่องกันมา 23 เดือน
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของทางการจีนในการชะลอราคาสินค้าลงนั้น ทำให้ดัชนี PMI อ่อนตัวลง แต่แนวโน้มด้านเศรษฐกิจก็ยังไม่มีความชัดเจน
จาง หลี่ชุน นักวิจัยประจำศูนย์วิจัยการพัฒนาของคณะรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านวิชาการชั้นนำของรัฐบาลจีน กล่าวว่า ดัชนี PMI เดือนม.ค.ที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะผันผวนและดัชนีก็อาจจะอ่อนตัวลงอีกในอนาคตอันใกล้
ความจริงแล้ว นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากได้คาดการณ์ว่า จีนจะขึ้นดอกเบี้ยและใช้มาตรการอื่นๆเพื่อรับมือกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นในปีนี้ ไบรอัน แจ็คสัน นักวิเคราะห์ของรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา กล่าวภายหลังการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของจีนว่า คงจะมีการขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยนั้นจะช่วยชะลอการลงทุนในภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงที่จะขยายตัวร้อนแรงเกินไป
"ถึงแม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธันวาคมได้ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนพฤศจิกายน แต่เราก็ยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้" จาง หลี่ชิง ประธาน School of Finance มหาวิทยาลัย Central University of Finance and Economics
"นี่คือปัจจัยพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางในครั้งนี้" นายจางกล่าว
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกหลายรายกล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของตลาด เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมกราคมจะปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 5% และยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ในเดือนมกราคมอาจสูงถึงราว 1 ล้านล้านหยวน
เมื่อปี 2553 นั้น เศรษฐกิจจีนขยายตัวแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ และข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ก็ตอกย้ำว่า เศรษฐกิจแดนมังกรร้อนแรง โดยในปี 2553 เศรษฐกิจจีนขยายตัว 10.3% จากระดับ 9.2% ในปี 2552 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้
จีนก็คล้ายกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการปล่อยสินเชื่อจำนวนมหาศาล เมื่อรวมกับปัจจัยจากภายนอก อาทิ กระแสเงินสดที่ไหลบ่าเข้ามาแล้ว ราคาสินทรัพย์และราคาสินค้าจึงดีดตัวขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลิว เต๋อจง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Minmetal Securities ระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ยของจีนจะส่งผลในเชิงลบต่อตลาดหุ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผลกระทบดังกล่าวจะอยู่ในกรอบที่จำกัด พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ตลาดหุ้นจะยังคงแกว่งตัวผันผวนตามทิศทางในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นายหลิวกล่าวว่า เขาแปลกใจกับการขึ้นดอกเบี้ยในวันสุดท้ายของช่วงวันหยุดตรุษจีน ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยในเวลานี้แสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลางจีนมีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งสูงขึ้นอีก
ตลาดหุ้นจีนซึ่งเปิดทำการเป็นวันแรกในวันนี้ (9 ก.พ.) โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดตลาดร่วงลง 0.72% แตะระดับ 2,778.70 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นลดลง 0.73% แตะ 11,903.65 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเรื่องเงินเฟ้อหลังจากที่ธนาคารกลางจีนขึ้นดอกเบี้ย
การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนส่งผลให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกร่วงลงทันที ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นปานกลางในเวลาต่อมา โดยสัญญาทองแดงที่ตลาดลอนดอน (LME) และสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ร่วงลงเมื่อคืนนี้
แต่อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้กลับปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในช่วงเปิดตลาดเช้าวันนี้
ทั้งนี้ รายงานข่าวการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้แทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าของจีน โดยสัญญาทองแดงที่มีการซื้อขายคึกคักมากที่สุดนั้นเป็นสัญญาส่งมอบเดือนพ.ค.ที่สูงขึ้น 970 หยวน แตะ 76,000 หยวนต่อตัน ขณะที่สัญญาสังกะสีปรับตัวขึ้น 335 หยวน แตะ 19,800 หยวนต่อตันในช่วงเช้าวันนี้
ส่วนสัญญาทองคำนั้นเปิดทำการแข็งแกร่ง ดีดตัวขึ้น 4.78 หยวน แตะ 293.90 หยวนต่อกรัม เช่นเดียวกับช่วงขาขึ้นในตลาด COMEX
เทรดเดอร์เชื่อว่า ความต้องการของจีนจะยังคงเป็นบวกต่อไป โดยสัญญาเหล็กเส้นในตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5,124 หยวนต่อตัน เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ก่อนที่ตลาดล่วงหน้าจีนจะปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน
เจมส์ วิลสัน นักวิเคราะห์ของรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ กล่าวว่า การที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้นก่อนเทศกาลตรุษจีนนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะนักลงทุนต้องการสำรองอุปทานไว้ก่อนที่จะถึงช่วงวันหยุด
นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า การที่ธนาคารกลางจีนตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก 0.25% เมื่อวานนี้ จะส่งผลกระทบในด้านลบต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ภายในประเทศในระยะสั้น แต่ในระยะยาวนั้น คาดว่าการดำเนินดังกล่าวจะไม่สามารถสกัดกั้นภาวะการซื้อขายที่คึกคักในตลาดได้ เมื่อพิจารณาจากแรงหนุนของปัจจัยพื้นฐาน
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในระยะกลางและระยะยาวนั้น แนวโน้มของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะถูกกำหนดโดยปัจจัยพื้นฐาน
แม้ว่าจีนจะใช้กลยุทธ์หลายกระบวนท่าในการควบคุมเงินเฟ้อแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่า จีนไม่ยอมเลือกใช้กระบวนท่าจากสกุลเงินหยวน นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่าจีนเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศ แต่ก็ถือได้ว่า จีนได้ดำเนินการอย่างทันท่วงทีและมีเอกลักษณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะการประกาศการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรือเพดานกันสำรองในลักษณะที่ไม่กระโตกตาก เลือกฤกษ์งามยามเย็นบ้าง วันหยุดสุดสัปดาห์บ้าง แช่มช้อยแต่กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นนานาประเทศทั่วโลกดีนักแล