คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานสถาบันสร้างสานอนาคตไทย กล่าวถึงปัญหาน้ำมันปาล์มราคาแพงว่า เกิดจากการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลที่ปล่อยให้สต็อคน้ำมันปาล์มสำรองลดลงต่ำกว่าปกติมากเกินไป โดยเริ่มลดลงตั้งแต่เดือนต.ค.53 เหลือเพียง 133,024 ตัน จากที่ควรจะอยู่ในระดับ 2 แสนตัน และในเดือนพ.ย. สต็อคเหลืออยู่เพียง 98,015 ตัน
แทนที่รัฐบาลจะนำเข้ามาทันที แต่กลับสั่งเข้าเพียง 3 หมื่นตันในช่วงปลายเดือนม.ค. 54 และยังอนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์มก่อนที่จะมีการนำเข้า โดยอ้างว่าคุมราคามานานแล้ว เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายน้ำ เพราะหากน้ำมันปาล์มล้นตลาด เราก็ยังมีกลไกในการผลิตไบโอดีเซลช่วยเหลืออยู่ที่จะทำให้ราคาไม่ตก จึงเกิดคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่
นอกจากนี้ หลังการอนุมัติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ 3 หมื่นตันในเดือนม.ค. ซึ่งไม่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศแน่นอน ทำให้มีการสั่งนำเข้ามาอีก 1.2 แสนตันในเดือนก.พ.นั้นถือว่าเป็นการบริหารจัดการที่อันตราย เพราะในเดือน มี.ค.และ เม.ย.ผลปาล์มสดของเกษตรกรในประเทศจะออกสู่ท้องตลาด การนำเข้าครั้งนี้จะกระทบกระเทือนต่อราคาผลปาล์มดิบในประเทศอย่างแน่นอน
อีกทั้ง รัฐบาลไม่มีการจัดสรรสัดส่วนน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภคกับการผลิตไบโอดีเซลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังมีความพยายามกักตุนสินค้าในกลุ่มผู้ประกอบการ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลอ้างว่าน้ำท่วมแล้วทำให้ผลผลิตน้อยนั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีความผิดปกติของผลผลิตกับพื้นที่ปลูกโดยในปี 52 มีผลผลิตออกมา 8 ล้านกว่าตัน ใกล้เคียงกับในปี 53 แม้จะมีข้ออ้างว่าน้ำท่วมก็ตาม ซึ่งทำให้เห็นว่าผลผลิตไม่ได้ลดลงเลย
อีกทั้งในเรื่องของโครงสร้างราคาที่ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มวันนี้ผิดปกติ โดยเฉพาะในกระบวนการของโรงงานหีบน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมัน โดยเกษตรกรขายผลปาล์มสดได้แค่กิโลกรัมละ 6 บาท แต่เมื่อส่งมาที่โรงงานหีบน้ำมันเพื่อเข้ากระบวนการแล้วเสร็จน้ำปาล์มดิบที่ได้กลับกลายเป็นลิตรละเกือบ 50 บาท ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบจริงๆ ในปี 54 ควรจะอยู่ที่ 35.28-42 บาท เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ อย่างน้อย 12 บาทกว่า ซึ่งส่วนต่างในจุดนี้เป็นเงินที่หายไปแล้วประชาชนจะต้องมารับภาระ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า ขอเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลับไปตรวจสอบบุคคลใกล้ชิดในรัฐบาลและคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับน้ำมันปาล์มทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าได้รับผลประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติครั้งนี้หรือไม่
พร้อมจี้ให้รัฐบาลแก้ไขราคาน้ำมันปาล์มอย่างเร่งด่วน โดยต้องกำหนดว่าหลังมีการนำเข้าน้ำมันปาล์ม 1.2 แสนตันแล้วราคาน้ำมันปาล์มจะอยู่ที่เท่าไร พร้อมกับควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขึ้นไปแล้วให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับความเป็นจริงให้ได้ และควรให้ผู้มีความรู้ด้านเศรษฐกิจและการค้าจริงๆ เข้ามาดูแลเรื่องน้ำมันปาล์มโดยตรง เพราะเรื่องของน้ำมันปาล์มไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงเลย แต่กลับให้ผู้ที่ดูแลงานด้านความมั่นคงของรัฐบาลเข้ามาดูแลเรื่องน้ำมันปาล์มจนทำให้เกิดเสียงครหามากมาย