ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ก.พ.) เนื่องจากความกังวลที่ว่าปัญหาหนี้ยุโรปอาจจะยังไม่ได้รับการแก้ไขในเร็วๆนี้ หลังจากที่ประชุมรัฐมนตรีคลังยุโรปไม่ได้สรุปแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการขาดดุลการคลังของรัฐบาลในกลุ่มยูโรโซน
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.45% แตะที่ 1.3485 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3546 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินปอนด์ขยับขึ้น 0.20% แตะที่ 1.6036 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6004 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง 0.17% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.290 เยน จากระดับของวันศุกร์ที่ 83.430 เยน และร่วงลง 0.30% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9701 ฟรังค์ จากระดับ 0.9730 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียขยับขึ้น 0.04% แตะที่ 1.0027 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.0023 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนตัวลง 0.47% แตะที่ 0.7566 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7602 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรร่วงลงหลังจากที่ประชุมรมว.คลังยุโรปที่กรุงบรัสเซลส์เมื่อวานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะหาแนวทางในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเยอรมนียังลังเลที่จะสนับสนุนกองทุนดังกล่าว และที่ประชุมไม่มีการสรุปแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการขาดดุลการคลังของรัฐบาลในยูโรโซน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกรักษาเสถียรภาพของยุโรป (ESM) เพื่อรับมือกับช่วงเวลาที่กองทุน EFSF หมดอายุลงในช่วงกลางปี 2556 โดยรายงานระบุว่าคณะกรรมาธิการยุโรปวางแผนจะให้กองทุน ESM สามารถซื้อพันธบัตรโดยตรงจากประเทศสมาชิกยูโรโซนที่ประสบปัญหา นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปยังเสนอให้กองทุน ESM มีวงเงินจำนวน 5 แสนล้านยูโร และควรมีรูปแบบการดำเนินงานเหมือนกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธ.ค.2553 ปรับตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.
สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติของสหรัฐ (NAHB) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.พ.ทรงตัวที่ระดับ 16 จุด สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17 จุด
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ในสัปดาห์นี้ รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนม.ค., ตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนม.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค.,ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนม.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนม.ค.,จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนม.ค.