นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติวันพรุ่งนี้ (22 ก.พ.) กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้พิจารณาแนวทางบริหารจัดการน้ำมันปาล์มใน 2 แนวทาง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน และมีราคาแพง
แนวทางที่ 1 จะเสนอให้นำเข้าได้เสรี แต่ห้ามส่งออกเป็นการชั่วคราว 3 เดือน เพื่อปรับปริมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์การขาดแคลนในประเทศ และแนวทางที่ 2 ให้ปรับการนำเข้า 120,000 ตัน จากน้ำมันปาล์มดิบแยกไข เป็นน้ำมันปาล์มสำเร็จรูป เพื่อให้สามารถบรรจุใส่ปี๊บ ขวด และถุงได้เลย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการกลั่นเป็นน้ำมันบริสุทธิ์ และให้มีคณะกรรมการบริหารจัดการนำเข้าระดับชาติที่มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน
ทั้งนี้ ยืนยันที่จะให้จำหน่ายปลีกในราคาขวดละ 47 บาทต่อไป แต่หากต้นทุนนำเข้าสูงขึ้นกว่าเดิม รัฐจะต้องหางบประมาณมาชดเชยส่วนต่าง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค แต่หากรัฐไม่ให้งบประมาณเพื่อชดเชยส่วนต่าง ก็จำเป็นต้องอนุมัติให้มีการจำหน่ายน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในราคาต้นทุน ที่บวกต้นทุนการนำเข้า ค่าใช้จ่ายในนำเข้า และค่าใช้จ่ายในการขายเข้าไปด้วย ส่วนราคาจะเป็นเท่าใดก็ให้พิจารณามา
"2 ทางเลือกที่เสนอไป เป็นข้อเสนอของพาณิชย์ ถ้าไม่เอาก็ต้องมีข้อเสนอที่ดีกว่า และบอกมาว่าจะให้ทำอย่างไร"นางพรทิวา กล่าว
รมว.พาณิชย์ ยืนยันว่า ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนและมีราคาแพงอย่างเต็มที่ เริ่มจากเมื่อเห็นว่ามีการขาดแคลน ก็เสนอให้มีการนำเข้า ล็อตแรก 30,000 ตัน ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 6 ม.ค.54 ขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิตและกระจายออกสู่ตลาด แต่ปัญหาก็ยังไม่คลี่คลาย ปัญหายังขยายวงกว้าง จึงได้เสนอให้มีการนำเข้าอีก 100,000 ตัน
และเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ให้นำเข้า 120,000 ตัน เป็นน้ำมันปาล์มดิบแยกไข มีเวลาดำเนินการถึงมี.ค. และอยู่ระหว่างดำเนินการ อีกทั้งได้เตรียมขอแก้ไขมติวันที่ 1 ก.พ. ส่งไปพิจารณาเมื่อวันที่ 17 ก.พ. เป็นการนำเข้าน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ตามความต้องการของอุตสาหกรรม แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ก็มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างที่เห็น
"ยืนยันว่าไม่ได้ล่าช้าในการนำเข้า แต่ตามขั้นตอนได้รอความชัดเจนจากภาคอุตสาหกรรมว่าต้องการใช้น้ำมันปาล์มแบบไหน และดูเรื่องราคานำเข้า เพราะหลังจากที่มีข่าวว่าไทยจะนำเข้า ราคาก็พุ่งขึ้นต่อเนื่อง และเห็นว่า หากนำเข้าในราคาที่เพิ่มขึ้น จะกระทบต่อราคาภายในประเทศ ไม่สามารถขายที่ 47 บาทได้ เป็นเทคนิคดึงเวลา เพื่อรอให้ราคานิ่งก่อน"