นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะพิจารณาแนวทางอื่นมาใช้เพื่อดูแลราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ หากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สามารถชดเชยได้แล้ว แต่ยืนยันว่าไม่มีนโยบายที่จะทำให้กองทุนติดลบ และยังเชื่อว่าสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเป็นผลทางจิตวิทยา อย่างเช่นในอดีตเมื่อปี 51 ราคาน้ำมันเคยขึ้นไปสูงถึง 140 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น จากนั้นก็ได้ปรับลดลงมา
ทั้งนี้ หากกองทุนน้ำมันต้องชดเชยราคาดีเซลต่อไปจนถึงเดือน เม.ย.ตามที่ได้กำหนดไว้ เงินกองทุนอาจลดลงเหลือ 8-9 พันล้านบาท ต่ำกว่าเดิมที่คาดว่าจะเหลือ 1 หมื่นล้านบาท
"วันที่เข้ามา(เป็นรัฐบาล)กองทุนฯ ติดลบอยู่ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่รัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะทำให้กองทุนฯติดลบ"นายกรัฐมนตรี ระบุ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะที่แนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพงนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวทางการแทรกแซงต้องพิจารณาเป็นรายสินค้าไป จะไปแทรกทั้งหมดไม่ได้ และต้องพิจารณาต้นทุนที่แท้จริง ส่วนผลผระทบที่เกิดจากการปรับค่าแรงเป็นเพียงเล็กน้อย พร้อมยืนยันว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ได้ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นมาก
ส่วนนโยบายการเงินเป็นเรื่องที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะดูแลในเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าจะส่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นหรือกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะรัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปแล้วว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้จะชะลอการขยายตัวลงจากปีก่อน และในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาเงินเฟ้อยังไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
"เรื่องนโยบายการเงินนั้น แบงก์ชาติและคณะกรรมการนโยบายการเงินจะเป็นผู้ดูแล หากจะมีการปรับดอกเบี้ยก็ต้องดูว่าจะไม่ส่งสัญญาณให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปแล้วว่า เศรษฐกิจในปีนี้จะชะลอการขยายตัวลง"นายอภิสิทธิ์ กล่าว