ไทยร่วมเตรียมการประชุมรมต.คลังเอเปค วางทิศทางศก.-รับมือเงินทุนเคลื่อนย้าย

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 25, 2011 12:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยผลการประชุมระดับปลัดกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Deputies’ Meeting:APEC FDM)เมื่อวันที่ 22 ก.พ.54 ที่สหรัฐอเมริกาว่า การประชุม APEC FDM ครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ที่จะมีในเดือนพ.ย.54 ที่รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เพื่อหารือในด้านความท้าทายที่มีต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก การบริหารนโยบายเพื่อรองรับเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ผันผวน และการดำเนินนโยบายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินอย่างทั่วถึง

สำหรับการประชุมปลัดกระทรวงการคลังเอเปค(APEC FDM)นั้น ที่ประชุมได้หารือใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ด้านภาวะเศรษฐกิจโลกและในภูมิภาคเอเปค ซึ่งในส่วนของเศรษฐกิจโลกนั้นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) รายงานว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมามีการฟื้นตัวใน 2 ลักษณะ คือ กลุ่มประเทศพัฒนา จะฟื้นตัวแบบช้าๆ ในขณะที่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นการฟื้นตัวแบบรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการเติบโต 3.1% ในปี 53 และคาดว่าจะเป็น 2.7% ในปี 54 ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปี 53 ที่ 8.3% และคาดว่าจะเติบโตได้ 7.3% ในปี 54

ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายที่ยังคงมีอยู่ได้แก่ความไม่สมดุลระหว่างการส่งออกและการบริโภคในประเทศ และความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและพลังงาน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านความสามารถในการบริหารหนี้สาธารณะของแต่ละประเทศให้อยู่ในระดับยั่งยืน การขาดแผนระยะกลางในการบริหารงบประมาณเพื่อชำระหนี้ และความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วเกินไปจนกลายเป็นภาวะฟองสบู่ เป็นต้น

ที่ประชุมเห็นว่าประเทศพัฒนาแล้วควรปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมและโครงสร้างแรงงาน รวมทั้งบริหารฐานะการคลังของประเทศให้ยั่งยืน เพื่อลดปัญหาด้านการว่างงาน และสำหรับประเทศกำลังพัฒนาควรปฏิรูปโครงสร้างการบริโภคโดยหันมาพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ และในภูมิภาคมากกว่าการพึ่งพาการส่งออก รวมทั้งบริหารนโยบายการเงินเพื่อระมัดระวังความผันผวนของกระแสเงินทุนไหลเข้า-ออก อย่างรวดเร็วในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต เพื่อให้ค่าเงินในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงการกำหนดหัวข้อหลักของการประชุมระดับรัฐมนตรีในปีนี้ว่าไม่ควรเน้นเพียงการเติบโตของภาคการผลิต แต่ควรมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสมดุล ระหว่าง 3 เสาหลักอันได้แก่ การลงทุน-การบริโภค-การส่งออก นอกจากนี้ยังเห็นว่าหากสมาชิกที่เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรสามารถลดการบิดเบือนในตลาดสินค้าเกษตร เช่น ยกเลิกการอุดหนุน และยกเลิกการจำกัดปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารก็จะช่วยบรรเทาปัญหาด้านราคาสินค้าที่สูงขึ้นอันเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะเงินเฟ้อ

2.ด้านแนวโน้มของเงินทุนเคลื่อนย้าย ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากการผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยพบว่าปริมาณเงินทุนเคลื่อนย้ายได้ส่งผลกระทบต่อการแข็งตัวของค่าเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศที่เป็นฝ่ายรับ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องวางแผนเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้เครื่องมือการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ บริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นและสะท้อนความเป็นจริง มีการพัฒนาตลาดทุนในเชิงลึกโดยการออกตราสารที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ระยะเวลาและผลตอบแทน มีมาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนทางตรง พัฒนาระบบสถาบันการเงินให้มีเสถียรภาพ และพัฒนาระบบการกำกับดูแลเพื่อความมั่นคงของระบบการเงินและสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกับผลการประชุม G20 ในประเด็นด้านการสนับสนุนให้มีการจัดทำหลักปฏิบัติเบื้องต้นในการใช้มาตรการดูแลความเสี่ยงด้านมหภาคอย่างเหมาะสมและเพียงพอ

3. ด้านบทบาทของการลงทุนที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ประชุมเห็นว่านโยบายด้านการลงทุนมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างสมดุลเชิงเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเห็นว่าการเพิ่มระดับการลงทุนในประเทศจะช่วยเพิ่มการจ้างงานและลดช่องว่างทางสังคมลงได้ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคต่างๆ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างทางสังคม

สำหรับประเด็นการจัดหาแหล่งเงินเพื่อนำมาลงทุนนั้น สมาชิกเอเปคเห็นว่าปัจจุบันเนื่องจากสภาพคล่องในประเทศกำลังพัฒนานั้นมีจำนวนมากอยู่แล้ว หากรัฐบาล สถาบันการเงินในประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีความร่วมมือกัน ในการสร้างบรรยากาศให้น่าลงทุนก็จะช่วยสนับสนุนให้การลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาภาระงบประมาณของทางการได้

ที่ประชุมเห็นว่าในประเทศกำลังพัฒนานั้น การลงทุนในสาขาการผลิตมีสัดส่วนที่มากกว่าการลงทุนในสาขาบริการ ซึ่งแตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ที่จะเน้นการลงทุนในสาขาบริการมากเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในกับเศรษฐกิจ ดังนั้นประเทศกำลังพัฒนาจึงควรหันมาพิจารณาเพิ่มบทบาทการลงทุนในสาขาบริการให้มากขึ้น และพัฒนาตลาดทุนในภูมิภาคให้เข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นว่าแนวทางการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย Asian Bond Market Initiative ที่ประเทศไทยร่วมกับ ASEAN+3 กำลังดำเนินการอยู่เป็นแนวทางที่ช่วยยกระดับการลงทุนในภูมิภาคได้ดียิ่ง

นายนริศ กล่าวว่า แม้ว่าการที่เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณฟื้นตัวจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ประเทศไทยยังมีความกังวลใน 2 ประเด็น คือ 1.การเตรียมความพร้อมของประเทศกำลังพัฒนาในการเฝ้าระวังและเตรียมดำเนินนโยบายกรณีที่มีกระแสเงินทุนไหลออกจากประเทศอย่างฉับพลันจากผลของการที่เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วกลับสู่สภาวะมั่นคงขึ้น และผลตอบแทนการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้วที่ปัจจุบันมีความจูงใจในการลงทุน

2.การเตรียมนโยบายและมาตรการเพื่อรองรับอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในกรอบเอเปคปีนี้ ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับมาตรการริเริ่มด้านการพัฒนาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนฐานราก ซึ่งสหรัฐฯ ได้นำเสนอเป็นมาตรการริเริ่มในกรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ