นายจัสติน ยีฟู ลิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลกกล่าวในที่ประชุมสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในนิวยอร์กว่า เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้จะยังเป็นภูมิภาคที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก
นายลินกล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในเอเชียเป็นแกนนำการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่การขยายตัวอย่างรวดเร็วในจีน อินเดีย และในเอเชียตะวันออกโดยรวมนั้น มีความสำคัญอย่างมากต่อการหนุนให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินครั้งรุนแรง พร้อมกับคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 3.3% ในปี 2554 หลังจากขยายตัวได้ที่ 3.9% ในปี 2553
นอกจากนี้ เขากล่าวว่า ความไม่แน่นอนต่างๆ อาทิ อัตราว่างงานที่พุ่งสูงในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น รวมถึงวิกฤตหนี้สินในยุโรปและสหรัฐ กระแสเงินไหลเข้าระยะสั้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีรายได้ในระดับกลาง ความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ และภาวะราคาอาหารสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานที่สูงขึ้นนั้น อาจจะส่งผลให้เกิดแรงตึงเครียดทางสังคม และอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของประเทศที่มีรายได้ในปานกลาง
นายลินกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศในเอเชียตะวันออกกำลังเผชิญกับความวิตกกังวลเกี่ยวอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ชะลอตัวลง
"นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องจับตามองประเทศในเอเชียตะวันออก" เขาเสริม "หากเราต้องการกระตุ้นอุปสงค์ให้มากพอสำหรับการลงทุนทั่วโลก เราจำเป็นต้องกระตุ้นการขยายตัวในประเทศที่มีรายได้สูง และภูมิภาคอื่นๆ"
นอกจากนี้ ลินได้อ้างผลการศึกษาหลายฉบับพร้อมทั้งกล่าวว่า หากหลายประเทศในทวีปแอฟริกา มีโครงสร้างพื้นฐานในระดับเดียวกับในเอเชีย รายได้โดยเฉลี่ยของประเทศเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้น 2.1% ต่อปี และหากโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียสามารถพัฒนาได้ถึงระดับเดียวกับฮ่องกง หรืออิสราเอล ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ต่อปีของอินเดียก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัว 1.7% และหากอาร์เจนติน่ามีอัตราการใช้เงินทุนเท่ากับเกาหลีใต้หรือไต้หวัน อัตราการขยายตัวของจีดีพีก็อาจพุ่งขึ้น 1.4% สำนักข่าวซินหัวรายงาน