นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม(MPI)ในเดือนม.ค. 54 ที่ระดับ 186.30 เพิ่มขึ้น 3.70% จากระดับ 179.65 เมื่อ ม.ค.53
ขณะที่ ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 182.14 เพิ่มขึ้น 2.27% จากระดับ 178.10 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง 187.07 เพิ่มขึ้น 4.47% จากระดับ 179.08 ดัชนีผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 152.44 เพิ่มขึ้น 10.18% จากระดับ 138.36 ขณะที่ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 117.47 ลดลง -0.36% จากระดับ 117.90 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 62.13%
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ MPI เดือน ม.ค.เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญได้แก่ การผลิตยานยนต์ หลอดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ขณะที่การผลิต Hard disk drive และ เบียร์ ลดลงเล็กน้อย
การผลิตรถยนต์เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 20.7% และ 18.6%ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของโลกและของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับตลาดภายในประเทศได้รับผลดีจากค่ายรถยนต์ต่างมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกมาเสนอเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะรถยนต์ภายใต้โครงการอีโคคาร์ที่ออกมากระตุ้นตลาดทำให้ตลาดรถยนต์คึกคักเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้การจำหน่ายรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1800 c.c.เพิ่มสูงขึ้นถึง 61.2%
ขณะเดียวกันจากปัจจัยราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลต่อยอดการจำหน่ายรถกะบะขนาด 1ตัน เพิ่มขึ้นถึง 17.6% จากปีก่อน และยังคาดว่าในปี 54 ปัจจัยราคายางพาราที่พุ่งสูงขึ้นจะส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางใหม่ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีกำลังซื้อมากขึ้นจึงส่งผลต่อยอดการจำหน่ายรถกะบะที่สูงขึ้นอย่างมาก
การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้น 18% และ 19% ตามลำดับ เนื่องจากตลาดโลกยังมีความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตเพื่อการส่งออกที่สำคัญจึงได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ Monolithic IC มีการผลิตและจำหน่าย เพิ่มขึ้น 21.95%และ 2.84% ตามลำดับ
การผลิตเครื่องปรับอากาศ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้น 27.2%และ31.4% ตามลำดับ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวผู้ประกอบการได้ส่งสินค้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ จึงได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา และยุโรปอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจัยการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นหลายโครงการ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ส่งผลต่อยอดการผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศที่สูงขึ้น
สำหรับในปี 54 คาดว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ภาคอุตสาหกรรม และ MPI จะขยายตัวอยู่ที่ 5.5-6.5% และ 6.0-8.0% ตามลำดับ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตจะอยู่ที่ 64.0-66.0%
"สศอ.ยังคงคาดการณ์นี้ไว้เท่ากับที่ได้เคยประเมินในช่วงปลายปี 53 เนื่องจากภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออกในหมวดสินค้าสำคัญ เช่น ยานยนต์ Hard disk drive เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการขยายตัวได้แก่ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวชัดเจน รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย จะกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง" นางสุทธินีย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สศอ. ยังได้ประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวที่สำคัญได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากค่าแรงที่สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาโดมิโน่การโค่นล้มผู้นำประเทศในแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ จะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่พุ่งสูงและมีความผันผวน ซึ่งปัจจัยนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนที่มีระหว่างกัน ซึ่งในปี 53 ประเทศไทยมีการค้าการส่งออกไปยังประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาในสัดส่วน 8.5% ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 5.1 แสนล้านบาท