สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ (1 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยง หลังจากเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาลในลิเบียและอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นจะส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นปานกลาง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 21.30 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 1,431.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,409.80 - 1,431.60 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 60.7 เซนต์ ปิดที่ 34.427 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 1.25 เซนต์ ปิดที่ 4.4905 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 35.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,845.10 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 17.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 816.70 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยง หลังจากมีรายงานว่า การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลทั้งในลิเบียและอิหร่านได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยกองกำลังทหารอิหร่านได้ยิงแก๊ซน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม พร้อมกับจับกุมตัวแกนนำฝ่ายค้านในกรุงเตหะราน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าเหตุการณ์รุนแรงในอิหร่านอาจลุกลามไปทั่วประเทศ
ไมค์ ดาลี นักวิเคราะห์ด้านโลหะมีค่าจากบริษัท PFGBEST ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชิคาโกกล่าวว่า ตราบใดที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกายังคงตึงเครียด นักลงทุนก็จะยิ่งซื้อทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยง ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นอีก โดยเมื่อคืนนี้ สัญญาทองคำเดือนเม.ย.ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,431.20 ดอลลาร์/ออนซ์
นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นปานกลาง แต่เป็นการเพิ่มขึ้นชั่วคราว