เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงนโยบายเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งวุฒิสภาสหรัฐเมื่อคืนนี้ โดยกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในระดับปานกลางเท่านั้น พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะจับตาดูความเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
"การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ จะส่งผลกระทบต่อทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา" เบอร์นันเก้กล่าว "เราจะจับตาดูสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเราพร้อมที่จะใช้มาตรการที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพด้านราคา"
เบอร์นันเก้กล่าวว่า นอกเหนือจากอุปสงค์พลังงานที่สูงขึ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่แล้ว ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เบอร์นันเก้กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันจะทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐเพิ่มเพียงระดับปานกลางและชั่วคราวเท่านั้น
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังกล่าวปกป้องมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) ว่า ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อและการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ พร้อมระบุว่า อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนปรนทางกรเงิน ควบคู่ไปกับการตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ และเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ไปจนจบโครงการในช่วงกลางเดือนนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน