นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้มอบนโยบายในการดำเนินงานให้กับคณะกรรมการบริษัท สินเชื่อไปรษณีย์ไทย จำกัด(สปณ.) พร้อมเห็นว่าเป็นโอกาสดีในการวางแผนการดำเนินงานและร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการให้ สปณ.ในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนตามปกติได้ ช่วยลดการไปกู้เงินนอกระบบลงได้
ทั้งนี้ บริษัท สินเชื่อไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.53 ทุนจดทะเบียนจัดตั้ง 50 ล้านบาท โดย ปณท ถือหุ้น 100 % มุ่งเน้นดำเนินธุรกิจด้านการเงินการธนาคาร การให้สินเชื่อ โดยมีกลุ่มเป้าหมายประชาชนที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าเส้นความยากจน ประชาชนที่มีรายได้เท่ากับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนระดับฐานรากโดยตรง โดยอาศัยจุดแข็งในด้านเครือข่ายที่มีศักยภาพ ความใกล้ชิดกับชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ สปณ.อยู่ระหว่างกระบวนการจัดเตรียมการยื่นขออนุญาตจากกระทรวงการคลังผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินควบคู่ไปกับกระบวนการจัดตั้งบริษัท และกำหนดแนวทางการดำเนินงาน ปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด
โดยโครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนอีกไม่น้อยได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน คาดว่าจะเปิดให้ยื่นขอสินเชื่อได้ประมาณเดือน เม.ย.-พ.ค.54 พร้อมนำร่อง 10 สาขา ทุกภาคทั่วประเทศ
"โครงการนี้จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ทั่วถึงและตรงกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสินเชื่อในระดับฐานราก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมากขึ้น" รมว.คลัง กล่าว
อย่างไรก็ดี นอกจากช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยได้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินโดยที่ไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาธุรกิจของไปรษณีย์ไทยในด้านการเงินการธนาคาร ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับการไปรษณีย์ทั่วโลกที่จะให้บริการใน 3 ธุรกิจหลัก คือไปรษณีย์, ธนาคาร และการประกันภัย
อีกทั้งยังช่วยพัฒนาระบบบริการทางการเงินในระดับฐานรากให้มีความหลากหลายและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้ใช้บริการผ่านเครือข่ายของภาครัฐ อันจะนำไปสู่การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่สังคมไทยทุกระดับ