นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย(THAI) กล่าวในการเสวนา"องค์กรหมื่นล้าน กับกลยุทธบริหารจัดการค่าเงิน"ว่า รัฐบาลควรปล่อยให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกลตลาด และให้ผู้ใช้น้ำมันได้ปรับตัว หรือหากจะใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาท/ลิตร ก็ควรจะใช้วิธีการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) เป็นเครื่องมือดีกว่าให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาชดเชยราคา
"รัฐบาลจะได้ไม่มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และไม่กระทบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง...หากรัฐบาลจะตรึงราคา มีเครื่องมือทำได้ 2 ทาง คือกองทุนน้ำมันซึ่งยังมีเงินอยู่ และการทำ Hedging ซึ่งหากต้องการ cap ราคาน้ำมันที่ 30 บาท ก็ทำ Hedging ช่วยได้ ส่วนจะทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบาย ที่ผ่านมาการบินไทยทำและไม่ได้ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น"นายปิยะสวัสดิ์ กล่าว
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวอีกว่า การบินไทยเป็นองค์กรที่ใช้น้ำมันมากที่สุดและไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ทำให้ต้องมีการสร้างความเข้มแข็งให้องค์กร และสามารถแข่งขันกับสายการบินอื่นทั่วโลกได้ ดังนั้น แนวทางบริหารจัดการปัญหาราคาน้ำมัน ได้มีการทำ Fuel Hedging ซึ่งในภาวะปัจจุบันถือว่ามีความสำคัญมาก รวมถึงการปรับ Fuel surecharge ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายังบริหารจัดการได้ดี มีการปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารให้ครอบคลุมราคาน้ำมันได้
อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยเสี่ยงที่กระทบการดำเนินธุรกิจของ THAI ไม่ใช่ปัญหาราคาน้ำมัน แต่เป็นปัจจัยการเมืองเป็นหลัก ซึ่งมีผลต่อการท่องเที่ยว หากหากมีการเลือกตั้งในปีนี้ คงต้องติดตามดูผลของการเลือกตั้ง เพราะอาจนำไปสู่จุดที่ไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองได้
นอกจากนี้ ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทมีมากขึ้นในปีนี้ ทั้งจากอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการให้บริษัทสามารถแข่งขันได้กับสายการบินอื่นทั่วโลก ควรที่จะยกเลิกกฎเกณฑ์ภาครัฐที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับที่ บมจ.ปตท.(PTT)ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเหมือนกัน แต่ได้รับการยกเว้นกฎเกณฑ์ภาครัฐมากกว่า