ธนาคารโลกประมาณการณ์ว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในญี่ปุ่นจะสูงถึง 2.35 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าต้นทุนความเสียหายของเหตุแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบเมื่อปี 2538 ที่ระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าบริษัทประกันจะมีต้นทุนในการจ่ายค่าชดเชยเป็นวงเงินสูงถึง 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การประมาณการดังกล่าวไม่ได้นับรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิม่า เนื่องจากข้อมูลที่ใช้ในการประเมินในครั้งนี้ รวบรวมได้ก่อนที่จะมีการเปิดเผยเรื่องวิกฤตการณ์นิวเคลียร์
ธนาคารโลกระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นไปจนถึงช่วงกลางปีนี้ ซึ่งการชะลอตัวลงชั่วคราวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะส่งผลกระทบปานกลางต่อภูมิภาคเอเชียในระยะสั้นๆ แต่คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเริ่มดีดตัวขึ้นในช่วงไตรมาสหลังๆ เพราะได้แรงหนุนจากโครงการบรูณะฟื้นฟูประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ธนาคารโลกระบุว่า ภาวะติดขัดที่เกิดขึ้นกับเครือข่ายการผลิตในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกนั้น จะทำให้เกิดปัญหามากมาย เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตและเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของเครือข่ายการผลิตในเอเชียตะวันออก
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ญี่ปุ่นสามารถผลิตเมมโมรี่ชิพในสัดส่วนสูงถึง 36% ของผลผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกทั่วโลก ซึ่งภาวะติดขัดที่เกิดขึ้นในการผลิตภาคส่วนนี้ได้ส่งผลให้ราคาเมมโมรี่ชิพพุ่งขึ้นไปแล้วประมาณ 20%