นายกฯ ยืนยันเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวพร้อมแล้วสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 21, 2011 18:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในสุนทรพจน์ในงาน The 5th Annual Euromoney Thailand Investment Forum ว่า ประเทศพร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป โดยรัฐบาลชุดนี้ได้วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับประเทศไทยในทุกๆด้าน

"ประเทศไทยกำลังอยู่ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ และความท้าทายต่อจากนี้ คือ การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น อันเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย แต่เชื่อว่า นี่คือโอกาสที่ดีของประเทศไทย" นายกฯ กล่าว

นายกฯ ระบุว่า ในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งปี 52 ยังอยู่ในช่วงที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลก ทำให้อัตราการเติบโตของประเทศหดตัว 2.3% รวมทั้งประสบกับปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในวันนี้ได้เปลี่ยนไปมากจากเดิม

แต่จากมาตรการทางการเงินการคลังที่รัฐบาลใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา วันนี้เศรษฐกิจของประเทศได้ฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยอัตราการเติบทางเศรษฐกิจขยายตัวถึง 7.8% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในต้นปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ม.ค- มี.ค. ตัวเลขการจัดเก็บภาษี ยอดจำหน่ายรถยนต์ รวมทั้งตัวเลขการส่งออก ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าเราจะมีการเติบโตที่น่าประทับใจในช่วงที่ผ่านมา ในปีนี้ยังมีคงมีความท้าทายที่ประเทศยังต้องเผชิญ ประการแรก คือ ความยืดหยุ่นทางการเศรษฐกิจในระดับมหภาค ซี่งเป็นเรื่องที่ทั้งโลกกำลังเผชิญ ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาที่กำลังเผชิญปัญหาการว่างงาน ภาวะหนี้ในยุโรป และอัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าที่สูงขึ้นในเอเชีย ซึ่งรัฐบาลไทยได้เตรียมรับมือกับเรื่องอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้มีความยืดหยุ่น มีอัตราการว่างงานไม่ถึง 1% หนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 42% และเราจัดทำนโยบายทางการเงินที่มีความยืดหยุ่น ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยเอง ก็มีการกำหนดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการผันผวนของค่าเงิน ตั้งแต่ในช่วงกลางปีที่แล้ว นอกจากนั้น รัฐบาลมีนโยบายเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ประชาชน อาทิ การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG รวมทั้งใช้การบริหารจัดการด้านราคาสินค้าอย่างระมัดระวัง โดยในช่วงต้นปีนี้ ระดับเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 2.8%

สำหรับความท้าทายประการที่ 2 คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยรัฐบาลได้ให้มีการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ผ่านโครงการลงทุนระยะกลางที่เรียกว่า โครงการไทยเข้มแข็ง อันประกอบไปด้วย การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน รถไฟความเร็วสูงจากจีน การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การจัดให้มีการศึกษาฟรี 15 ปี ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเน้นการผลิตบุคคากรของประเทศไทยให้ตามความต้องการของตลาดแรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังเน้นการเชื่อมโยงไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต ซึ่งประเทศไทยเตรียมจะเป็นศูนย์กลางด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจการเงินในอาเซียนทั้งในระดับอนุภูมิภาคและในภูมิภาคใกล้เคียง

ความท้าทายประการที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญที่สุด คือ เรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม อันเป็นเหตุที่นำมาซึ่งความแตกแยกทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ได้ทำ คือ การสร้างการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคส่วนที่ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการ สามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่าเทียม และยังมีการจัดเก็บภาษีอย่างทั่วถึงเพื่อให้สามารถนำมาบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายประการสุดท้าย คือ ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม อันนำมาซึ่งวิกฤตการราคาสินค้าเกษตรทั้งที่เป็นอาหารและพลังงาน ซึ่งตรงจุดนี้ ถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส แต่นายกรัฐมนตรีเองมองว่าเป็นเรื่องที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบ เนื่องจากเราเป็นประเทศผู้ผลิตอาหาร โดยรัฐบาลให้มีการประกันราคาสินค้าเกษตรแก่เกษตรกร เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้ผลิตและเพื่อจูงใจให้มีการผลิตสินค้าเกษตรในประเทศมากยิ่งขึ้น อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศและของโลก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ