รายงาน Global Auto Report ที่เผยแพร่โดยธนาคารสโกเทีย อีโคโนมิกส์ หนึ่งในธนาคารยักษ์ใหญ่ 5 แห่งของแคนาดาระบุว่า ระบบซัพพลายเชนชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ยานยนต์ทั่วโลกยังคงแข็งแกร่งและภาคอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนรถยนต์จะดีดตัวได้อย่างแข็งแกร่งหลังจากที่สถานการณ์ในญี่ปุ่นเริ่มมีเสถียรภาพ
การปิดโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ในญี่ปุ่นส่งผลให้มียอดสูญเสียกำลังการผลิตยานยนต์ราว 37,000 คันต่อวันนับตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้มียอดรวมที่ 400,000 คัน ณ วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา เฉพาะการปิดโรงงานในญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวจะส่งผลให้กิจกรรมในภาคอุตสาหกรรมลดลงอย่างน้อย 1% ในเดือนมีนาคม เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมยานยนต์มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของภาคอุตสาหกรรมการผลิตด้วยสัดส่วน 13% ของกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด
นอกจากนี้ โรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์หลายแห่งของค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นในต่างประเทศเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบรถยนต์บ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จากกรณีที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นได้งดการผลิตช่วงล่วงเวลาที่โรงงาน 14 แห่งในอเมริกาเหนือ ซึ่งหากค่ายรถญี่ปุ่นระงับการผลิตในที่อื่นๆ อีก ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง
รายงานดังกล่าวระบุว่า ความเสี่ยงดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความบันเทิง รวมถึงสารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ในผลิตสีทารถ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจัดหาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ 21% ของอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกและเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตแผงวงจรไฟฟ้าและระบบเซ็นเซอร์สำหรับยานยนต์
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนประกอบรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกด้วยยอดนำเข้าที่กว่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้มียอดนำเข้าชิ้นส่วนประกอบรถยนต์จากญี่ปุ่นมูลค่า 7.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดภาวะขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ประมาณ 80% ของชิ้นส่วนผลิตรถยนต์ทั้งหมดที่ใช้ในการประกอบรถยนต์ในสหรัฐและแคนาดานั้น ผลิตขึ้นในอเมริกาเหนือ ซึ่งได้แก่ สหรัฐ แคนาดา หรือเม็กซิโก สำนักข่าวซินหัวรายงาน