นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เตรียมประกาศปรับเป้าหมายการส่งออกปี 54 ใหม่ โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็น 12% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 10% หรือคิดเป็นมูลค่า 2.19 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7 ล้านล้านบาท เนื่องจากการขยายตัวของตลาดส่งออกที่มีศักยภาพ เช่น อาเซียนเพิ่มขึ้น 23% จีนเพิ่มขึ้น 20% อินเดียเพิ่มขึ้น 18%
ขณะเดียวกัน ตลาดที่มีศักยภาพเดิมทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป(อียู) และญี่ปุ่น มีการระดมทุนหมุนเวียนจากภาครัฐเข้าไปในระบบสูงมากขึ้นทำให้เกิดการขยายตัวด้านการค้าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่ตลาดใหม่ขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดรัสเซีย CIS แอฟริกา ละตินอเมริกา นอกจากนี้ไทยยังได้รับผลดีจากการขยายตัวของการค้าชายแดน โดยปีนี้ตั้งเป้าขยายตัว 22% มูลค่า 9 แสนล้านบาท และเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาทในปี 2555 ประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราการขยายตัวสูงขึ้น เช่น กัมพูชาเพิ่มขึ้น 6% ลาวเพิ่มขึ้น 7.5% พม่าเพิ่มขึ้น 5.5% และมาเลเซียเพิ่มขึ้น 5%
โดยสินค้าที่คาดว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้นมีทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าวในปีนี้ที่กำหนดเป้าหมายส่งออกเพิ่มขึ้น 5% หรือประมาณ 9.5 ล้านตัน โดยจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกข้าวนึ่งมากขึ้นจาก 3 ล้านตัน เป็น 4.5 ล้านตัน ราคาข้าวเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจากตันละ 578 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 600 ดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกมาจากภัยธรรมชาติ เช่น ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง การใช้สินค้าเกษตร เพื่อการผลิตพลังงานทดแทน ความขัดแย้งทางการเมืองในตะวันออกกลาง และแอฟริกา ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ คาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเพิ่มขึ้น 4.5% และกระทรวงพาณิชย์จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิน 3.7% โดยควบคุมอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.3%
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ราคาสินค้าส่วนใหญ่โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคจะยังไม่มีการรับขึ้นราคาแม้สิ้นสุดมาตรการขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าเมื่อสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ยืนยันแล้วจะยังไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้คาดว่าผู้ผลิตอื่นจะยังไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าด้วย และขณะนี้ยังไม่มีผู้ผลิตสินค้าใดยื่นขอปรับขึ้นราคาสินค้าเพิ่มเติมจากเดิม 4 รายการ คือ น้ำมันถั่วเหลือง ปุ๋ยเคมี เหล็ก และนม ซึ่งจะเริ่มพิจารณาปรับราคาในสัปดาห์หน้า
"วันที่ 5 เมษายนนี้จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาน้ำมันพืชบริโภคเพื่อพิจารณาราคาน้ำมันถั่วเหลือง และในวันที่ 7 เมษายนนี้จะเรียกประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาแนะนำปุ๋ยเคมี โดยได้ให้นโยบายพิจารณาราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นและให้เป็นธรรมกับผู้บริโภค" นางพรทิวา กล่าว