นักเศรษฐศาสตร์จากเจพีมอร์แกน ซิเคียวริตีส์ เจแปน แสดงความเห็นว่า ระยะเวลา 1 เดือนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงขนาด 9.0 ริกเตอร์และคลื่นสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอนมากขึ้น นอกจากนี้ ภาคการผลิตที่ทรุดตัวลงและวิกฤตนิวเคลียร์ของประเทศ ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นอย่างหนักด้วย
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า แม้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง พยายามดิ้นรนที่จะจัดตั้งกองทุนฉุกเฉินเพื่อเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายด้านการบูรณะฟื้นฟูในช่วงเวลาเดียวกับที่สถานะการคลังของญี่ปุ่นกำลังอยู่ในสถานะที่ลำบาก และแม้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้ตัดสินใจอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบการเงิน แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวคงทำได้แค่เพียงประคับประคองเศรษฐกิจเอาไว้ได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และสินค้าไฮเทค ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญกำลังจับตาดูผลพวงของวิกฤตการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิม่า ไดอิจิ บริหารโดยบริษัทโตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ (เทปโก) ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความวิตกกังวลว่าภาวะขาดแคลนพลังงานอาจเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปีนี้ด้วย
"สถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิม่ายังไม่ดีขึ้น และอาจจะเลวร้ายลงกว่าเดิม แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในเดือนพ.ค. แต่คาดว่าผลกระทบจากอุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะยังคงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวด้านการอุปโภคบริโภค" เจพีมอร์แกน ซิเคียวริตีส์ เจแปนกล่าว สำนักข่าวเกียวโดรายงาน