นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มีโอกาสหารือกับนางบาร์บาร่า ไวเซิล ผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เกี่ยวกับความคืบหน้าการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยในช่วงปี 53 ที่ผ่านมา โดยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการวางขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในไทยที่ยังคงพบเห็นได้ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สีแดง และปัญหาการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ของไทย
ทั้งนี้ USTR ได้รับข้อมูลจากภาคเอกชนสหรัฐฯ หรือ Motion Picture Association (MPA) ว่ามีภาพยนตร์สหรัฐฯ ถูกละเมิดโดยการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ในไทย เพิ่มขึ้นจาก 25 เรื่องในปี 52 เป็น 37 เรื่องในปี 53 สหรัฐฯ จึงหวังว่าไทยจะออกกฎหมายเอาผิดเจ้าของพื้นที่ที่ใช้ในการขาย ผลิต เก็บรักษาสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และกฎหมายป้องกันการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตามได้แสดงความชื่นชมการดำเนินนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาควบคู่กับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่จะเป็นการสร้างความตระหนักให้กับประชาชน เกี่ยวกับความสำคัญของการสร้างสรรค์ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในภาพรวม
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ฝ่ายไทยได้ยืนยันไปว่าได้ตระหนักดีเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันกระบวนการออกกฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีความคืบหน้าไปมาก โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบหลักการร่างกฎหมายป้องกันการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์เมื่อ 14 ก.ย.53 และขณะนี้อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาในประเด็นด้านเทคนิคเกี่ยวกับรูปแบบของการตรากฎหมายว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายลิขสิทธิ์หรือกฎหมายเฉพาะ และควรจะเป็นความผิดที่ยอมความได้หรือไม่
สำหรับกฎหมายเอาผิดเจ้าของพื้นที่นั้น กระทรวงพาณิชย์กำลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานผู้แทนการค้าไทย ว่าบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบันมีความครอบคลุมประเด็นนี้แล้วหรือไม่ หรือจำเป็นจะต้องออกฎหมายใหม่เป็นการเฉพาะ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปโดยเร็วต่อไป
"ยืนยันว่าทุกหน่วยงานมีความเห็นพ้องกันว่าจำเป็นจะต้องมีมาตรการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาดังกล่าว เพียงแต่ยังมีความเห็นแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดวิธีการดำเนินการ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานร่วมกัน ระหว่างนี้ได้มอบหมายให้กรมสรรพากร และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบการเสียภาษี และบัญชีธุรกิจของผู้ให้เช่าพื้นที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอีกทางหนึ่งด้วย" นายอลงกรณ์ กล่าว
สำหรับในปี 53 หน่วยงานของไทยสามารถปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้ 4,851 คดี ยึดของกลางได้ 4,247,708 ชิ้น ซึ่งในจำนวนนี้เป็นคดีใหญ่ที่มีของกลางมากกว่า 3,000 ชิ้น จำนวน 89 คดี พร้อมทั้งได้จัดการทำลายของกลางละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา 3 ครั้ง จำนวน 879,357 ชิ้น มูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากลับเข้าสู่ตลาดได้อีก ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้เรียกร้องให้ USTR ตระหนักถึงความคืบหน้าการดำเนินการของไทย และให้เครดิตรัฐบาลไทยที่ได้พัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศจนมีความคืบหน้าจากปี 50 ที่ไทยถูกจัดเป็น PWL ครั้งแรกอย่างเด่นชัด ทั้งการให้ความสำคัญในระดับนโยบาย ผลักดันกฎหมาย การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักของประชาชนผ่านการดำเนินนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาควบคู่กับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สมควรที่ไทยจะได้รับการถอดจาก PWL ในการประเมินผลตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ที่จะประกาศผลในเดือนเม.ย.54